ทริปตามใจ

หลังจากที่เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาหอบผ้าผ่อนไปนอนเล่นเพลินๆ ที่เชียงใหม่

ไปใช้เวลากับเพื่อนฝูงและเจ้านายอย่างสบายอารมณ์

แต่พอกลับมากรุงเทพก็รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนเดิม

มีอย่างเดียวที่จะทำให้เราหายเบื่อได้บ้าง นั่นคือ การรอคอย

 

การรอคอยข่าวคราวและการกลับมาของใครบางคน ที่หนีไปดำน้ำ ไปเที่ยวคนเดียวที่บาหลี

แต่สุดท้ายการรอคอยก็จบลงง่ายๆ ด้วยการที่ใครคนนั้นตกเครื่อง!

แต่เพราะการตกเครื่องของตาคนนั้นนี่แหล่ะ เลยทำให้ ‘ทริปตามใจ’ เกิดขึ้นอย่างด่วน

 

ทันทีที่รู้ว่าใครคนนั้นจะไม่กลับมาตามกำหนดอีกอย่างน้อย 2 วัน

หรืออาจจะมากกว่านั้นถ้าเขาเกิดอยากจะเที่ยวต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนดกลับ

เราใจเสียเลยเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอ

 

พอได้รู้แผนการคร่าวๆ ว่าเขาจะบินจากบาหลีมากัวลาลัมเปอร์

เพราะถ้าบินตรงกลับบ้านราคาตั๋วก็เป็นหมื่น

เลยกะว่าจะมาตั้งหลักที่ KL ก่อนจะคิดว่าจะกรุงเทพด้วยวิธีไหน…ถึงตรงนี้เราก็ปิ๊งไอเดีย!

ในเมื่อต้องอยู่ที่ KL แล้ว ทำไมต้องรีบล่ะ สู้เราไปหาแล้วเที่ยวด้วยกันดีกว่า

 

ตกลงกันได้ดังนั้น ปฏิบัติการออกตามหัวใจของเราที่หายไปบาหลีบ่อยๆ ก็เริ่มขึ้น

โดยที่เรามีเวลาเตรียมตัวแค่เพียง 1 วัน 1 คืนเท่านั้น

ไอ้เรื่องเตรียมใจไม่มีห่วง พร้อมตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าจะได้ไป

เรื่องข้อมูลต่างๆ ทั้งที่พัก และการเดินทางก็ถามเอาจากคนที่เคยไปมาแล้ว

(ขอบคุณน้องเลิก และพี่ปุ๋มมา ณ ที่นี้)

นอกนั้นก็เสิร์ชหาเอาจากเน็ตเป็นหลัก ไม่ได้มีเวลาอ่านอย่างจริงจัง

คือ เจอแล้วอ่านผ่านๆ ว่าน่าจะเป็นประโยชน์ เซฟแล้วก็ปริ้นท์ออกมาเพื่อติดตัวไปใช้

 

นี่เป็นทริปแรกในชีวิตเลยมั้งที่เราไม่ได้หาข้อมูลและนั่งอ่าน นั่งวางแผนอย่างจริงจัง

เป็นการด้นสดอีกแล้วคับท่าน

ต่างจากคราวที่ไปสุราษฎร์ฯ ตรงที่ อันนั้นมีข้อมูลไว้เต็มที่เหลือแค่วางแผนไม่ได้เท่านั้นเอง ส่วน KL มีข้อมูลในหัวและที่ตัวน้อยมาก

เรียกว่าตื่นเต้นตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทาง

ตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอใครบางคน

ตื่นเต้นที่จะต้องเดินทางออกนอกประเทศคนเดียว…ครั้งแรก

ตื่นเต้นที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอเราอยู่บ้างที่นั่น เมืองที่ไม่เคยอยู่ในแผนเที่ยวของเรา

M2M1 

และแล้วการเดินทางทั้งหมดก็ราบรื่น

ไล่ตั้งแต่การนั่งแท็กซี่ไปสุวรรณภูมิในยามวิกาล,

การไปเช็คอินและนั่งรอเครื่องแบบชิวๆ เพราะเผื่อเวลาดี ไม่ต้องลนลาน

มีเวลาถ่ายรูป อ่านหนังสือ และฟุบหลับได้,

ลงเครื่องที่สนามบิน KLCCT แล้วต่อด้วยรถ Skybus เพื่อเข้าเมือง

นั่งรถโมโนเรลจาก KL Sentral ไปลงที่สถานี Bukit Bintang ซึ่งเกสต์เฮ้าส์เราอยู่ที่ย่านนี้

ในที่สุดเราก็ได้เจอกันตามเวลาและสถานที่ที่เรานัดกันไว้

ดีใจและโล่งใจจนต้องขอโอบกอดในร้าน Mc Donald

M3M4M5

เรามีเวลาเที่ยว 3 คืน 4 วัน

วันแรกก็เดินเที่ยวเล่นในกัวลาลัมเปอร์

หลักๆ คือ จะไปตามหา KL Tower และ Petronas Twin Tower

ก่อนเดินทางก็นั่งดูแผนที่ก่อน การเดินทางสะดวกดีเพราะมีรถโมโนเรลราคาถูกไปลงใกล้ๆ

แล้วก็เดินชมไม้ ชมนกไปเรื่อยๆ จนถึง KL Tower

ถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้วก็เตรียมย้ายร่างไปตามหาตึกแฝดต่อ

M6M7

ระหว่างทางเกิดเหตุการณ์บางอย่าง

ที่จนถึงทุกวันนี้ก็แทบไม่เชื่อว่าได้เกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ

ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอให้อ่านต่อไป เพราะน่าจะเป็นอุทาหรณ์ที่ดีได้เลย

โดยเฉพาะใครที่คิดว่าเก่ง คิดว่าตัวเองฉลาด คิดว่าเอาตัวรอดได้จากพวกมิจฉาชีพแน่ๆ

ตอนที่เราสองคนออกจากจาก KL Tower และกำลังจะเลี้ยวเข้าถนนซึ่งตรงไปตึกแฝดได้ ก็มีนักท่องเที่ยว 2 คนผัวเมียเดินมาบอกว่าให้ถ่ายรูปกับตึกให้หน่อย พี่อาร์ตก็เดินไปถ่ายให้อย่างตั้งใจ กดไปหลายรูปแถมยังบอกให้สองคนนั้นเช็ครูป แต่ผัวเมียก็ไม่สนใจรูปเดินปรี่เข้ามาหาเราสองคนอย่างยิ้มแย้ม ถามว่าเรามาจากไหน

พอบอกว่ามาจากกรุงเทพ เมืองไทยเท่านั้นแหล่ะก็ท่าทางดีใจกันมาก แล้วก็ชวนคุยแบบหนิดหนมอะไรไปเรื่อย พี่อาร์ตก็ดูคุยสนุก แต่เราเริ่มๆ เบื่อแล้ว

จากนั้นเค้าทั้งคู่ก็เอ่ยปากว่าขอดูแบงค์ 500 หน่อยได้มั้ย เค้าอยากเห็นก่อนจะไปใช้จริงๆ ที่เมืองไทย

เราเริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ได้นึกถึงการตบเงินหรืออะไรทำนองนั้น แค่ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่าม เราเลยหน้าตีนนิดๆ

พี่อาร์ตเปิดกระเป๋ษตังค์ควักปึกเงินออกมาให้ดูว่าไม่มีแบงค์ 500

โดยที่พี่อาร์ตก็จับเงินอยู่ด้วยแม้ว่าตัวผู้ชายจะจับเงินเพื่อดู เราทั้งคู่จ้องมือและเงินไม่ยอมละสายตา และคิดว่าไม่มีทางที่จะเอาเงินเราไปได้ถ้าคิดจะขโมย

ต่อจากพี่อาร์ตสองคนนั้นคะยั้นคะยอให้เราเปิดกระเป๋าตังค์บ้าง เราบอกว่าเราไม่มีแบงค์ 500 เค้าก็ไม่เชื่อ

งอนๆ พูดทำนองว่า “แหมจะไปเที่ยวบ้านเธอนะ ขอดูหน่อย อย่าหวงเลย”

เราควักเงินออกมาให้ดูเพราะต้องการตัดความรำคาญ

เรามีเงินอยู่ 7 พันกว่าบาท เป็นแบงค์พันและแบงค์ร้อย

และก็เหมือนเดิมคือ เราจับเงินตัวเองระหว่างที่ตัวผู้หญิงมาจับ มาขอดู และเราก็จ้องมือเค้า จ้องเงินเราตลอดเวลา

เรื่องก็จบลงตรงที่สองคนนั้นร่ำลาและขอบคุณเราทั้งคู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ตั้งแต่เริ่มจนจบการสนทนาน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที

แต่กว่าเรากับพี่อาร์ตจะรู้ว่าเงินหายไปรวมๆ แล้วหมื่นกว่าบาท

ก็ผ่านมาอีกหลายชั่วโมง!

 

หลังจากแยกตัวมาแล้ว เราก็เดินตามหาตึกแฝดจนเจอ

M8

นั่งเล่น นั่งถ่ายรูป ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะที่ใหญ่ใจกลางเมือง

แถมโอบล้อมด้วยตึกสูงๆ เพื่อรอเวลาค่ำ ตึกแฝดจะเปิดไฟสวยงาม

มันเป็นการรอคอยที่คุ้มค่า

เพราะได้ใช้เวลาที่เดินช้าๆ ไปกับคนสนิท ในบรรยากาศที่สดชื่นด้วยต้นไม้หนาแน่น

M9

เราชอบที่รัฐบาลประเทศนี้ เมืองนี้ที่เห็นคุณค่าของต้นไม้แบบเป็นๆ ถนนทุกเส้น ซอยทุกซอยจะมีต้นไม้เก่าแก่ต้นใหญ่ให้เห็นเสมอ คาดว่าน่าจะตัดทิ้งเท่าที่จำเป็น นั่นคงเพราะเค้าเล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญ ในระยะยาว ทำให้ถนนหนทางธรรมดากลายเป็นสวยงามขึ้นมาทันที ทางเท้าก็ทำได้กว้างขวาง เดินสะดวก มีทางสำหรับคนตาบอดอยู่แทบทุกที่

อย่างสวนสาธารณะหลังตึกแฝดก็กว้างมากๆ น่าจะหลายไร่ ทั้งๆ ที่เดาว่าที่ดินตรงนั้นคงมีราคาสูงมาก แต่เค้าก็เลือกที่จะเอามาทำสวนสาธารณะที่นอกจากจะมีสนามหญ้าเขียวขจี มีทางให้เดินเล่น ก็ยังมีลู่วิ่ง มีสนามเด็กเล่น มีห้องน้ำสะอาดๆ มีเก้าอี้ดีไซน์เรียบง่ายแต่สวย มีสระน้ำให้เล่น ทุกอย่างผ่านการคิดแล้วอย่างดี ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าสร้าง เห็นแล้วก็ดีใจแทนคนที่นี่

M10

แถมที่น่ารักอีกอย่างคือ

ตอนเย็นๆ ค่ำๆ คู่รัก ครอบครัว เพื่อนฝูง แม้แต่กลุ่มเด็กแว๊น

จะซื้ออาหาร ห่อข้าวมานั่งกินกันไปทั่วสวนฯ

เป็นภาพที่ดูแล้วสบายใจจริงๆ

ถ้ารู้มาก่อนก็จะได้ซื้อติดมือมากินเคล้าบรรยากาศดีๆ และแกล้มด้วยไฟสวยๆ จากตึกแฝดบ้าง

 

เดินสบายใจกลับมาห้องเพื่อพบว่าเงินตัวเองหายไป 4 พัน!

นึกหน้าสองผัวเมียนั่นทันที แต่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเอาไปได้ยังไง ตอนไหน

เพราะมั่นใจว่าจับตาดูอยู่ตลอด แถมตอนที่เก็บเงินเข้ากระเป๋าก็เห็นและรู้สึกว่าจำนวนแบงค์มันหนาเท่าเดิม

 

น้ำตาซึมและเสียใจกับการกระทำแบบนี้

เรามักนึกเสมอว่าเราไม่เคยโกงใคร ไม่เคยขโมยเงินใคร ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้

พี่อาร์ตก็บอกว่าให้ทำใจซะ เรามันโง่เอง เสียใจไปก็คงไม่ได้เงินคืนมา

เรางอนพี่อาร์ตที่ไม่เข้าใจความรู้สึกเรา

เงินหายไป 4 พันจะให้ทำใจภายใน 4 นาทีมันทำไม่ได้

สักพักพี่อาร์ตก็เปิดกระเป๋าตังค์ตัวเองบ้าง และหันมาบอกว่าเราโดนไป 200 ดอลลาร์!

 

เราหันไปถามพี่อาร์ตด้วยหน้าตาเซื่องๆ ว่า “เข้าใจเจี๊ยบแล้วใช่ป่ะ?”

คือไม่ได้อยากจะซ้ำเติม หรือดีใจที่โดนด้วยกัน แค่อยากให้เข้าใจว่าเรารู้สึกยังไงเท่านั้นเอง

ซึ่งถึงไม่ตอบเราก็รู้แล้วว่าพี่อาร์ตเข้าใจอย่างลึกซึ้งแค่ไหน ก็โดนมากกว่าเราเกือบเท่าตัวนี่นะ

 

สรุปแล้วสองคนนั้นเล่นงานเราสองคนรวมๆ แล้วหมื่นกว่าบาท

เราเลยสรุปกันเองอย่างมั่นใจมากว่า มันไม่ใช่นักท่องเที่ยวแล้ว

มันคือมืออาชีพ มันคือมิจฉาชีพตัวจริงที่เราไม่มีวันตามทัน

ยิ่งบวกกับความประมาทเพราะความมั่นใจว่าทำอะไรเราไม่ได้เข้าไปด้วย

ก็ทำให้เราพลาดพลั้งได้ง่าย

ขอเตือนทุกท่านมา ณ ที่นี่

อย่าคิดว่าเราเก่ง อย่าคิดว่าเราแน่ อย่าคิดว่าเราฉลาด

ให้ระมัดระวังไว้เสมอดีกว่าเจอแล้วต้องมาเสียใจ

 

วันต่อๆ มาเราสองคนเลยกระมิดกระเมี้ยนกับการใช้เงิน จะกิน จะซื้ออะไรก็คิดแล้วคิดอีก

ไม่เคยเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเงินมากเท่านี้มาก่อน

ตอนนั้นคิดถึงบ้านมากๆ คิดถึงอาหารราคาถูกและอร่อย เนื่องจากค่าเงินที่นี่แพงกว่าบ้านเรา

(1 ริงกิตจะประมาณ 9-11 บาท)

แถมค่าครองชีพก็สูงกว่านิดหน่อย ข้าวราดแกงธรรมดาๆ ก็ตก 40-50 บาทแล้ว

M11

เราไปเที่ยวมะละกา เมืองเก่าแบบไปเช้ากลับเย็น

แต่เราออกจะเฉยๆ เพราะบ้านเรือนแบบนี้เคยเห็นมาจากภูเก็ตแล้ว

ส่วนข้าวของสำหรับนักท่องเที่ยวก็ธรรมดา บ้านเราก็มีแถมถูกว่า

แล้วด้วยความที่มันเป็นเมืองเก่าถนนเลยแคบ

แต่ปรากฎว่ามีรสบัส รถเก๋ง รถราอะไรมากมายวิ่งเข้าไปในโซนเดินเที่ยวเล่น

ทำให้ต้องคอยระวังหน้าระวังหลังตลอด เลยเดินไม่ชิวเท่าไหร่

M12

 

แล้วเราก็ไปเก็นติ้งในวันถัดมา

M13

คิดซะว่าไปปลดปล่อยความเป็นเด็กกับเครื่องเล่นนานาชนิด

แถมอากาศก็ดีมากๆ เพราะอยู่บนเขาสูงลิ่ว มีหมอกจางๆ วิ่งผ่านอยู่เป็นระยะๆ

การเดินทางก็สะดวก นั่งรถบัสจากกัวลาลัมเปอร์ออกมาแค่ชั่วโมงกว่า

และนั่งกระเช้าต่ออีกสักพักก็เข้าสู่ดินแดนการพนัน, ช้อปปิ้ง และ สันทนาการต่างๆ ได้แล้ว

 

ไอ้บ่อนเนี่ยอยากไปลองเล่นดูบ้าง บอกพี่อาร์ตว่าเราเสียเงินไปแล้วอาจจะมีโชคก็ได้

แต่พอเห็นเงินขั้นต่ำที่วงป๊อก 21 รับแทงแล้วก็ใจหายวูบ เดินออกมากันซะเฉยๆ

เพราะกลัวว่านอกจากจะไม่ได้เงินกลับมาแล้ว อาจจะต้องเสียมากกว่าเดิมก็ได้

M14

สรุปว่าทริปตามใจไปกัวลาลัมเปอร์คราวนี้สนุกและเปิดประสบการณ์ดี

แม้จะต้องเสียใจกับเรื่องที่เจอมิจฉาชีพ แต่มันก็เป็นทริปที่น่าประทับใจมากๆ

เราชอบกัวลาลัมเปอร์ที่สุด

รองลงมาคือเก็นติ้ง

ส่วนมะละกาน่าจะผิดหวังเพราะเคยอยากไปมานานแล้ว

 

เอาเป็นว่าใครจะไปคราวหน้าโทรมาถามได้เลย

มีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าจะอยู่ในหนังสือนำเที่ยวแน่ๆ เช่นว่า

สถานีขนส่ง Puduraya ในกัวลาลัมเปอร์ที่ทุกคนคิดว่าเป็นศูนย์รวมนั้น แท้จริงแล้วตอนนี้มีไม่กี่บริษัทที่รถจอดให้ขึ้นได้เลย บริษัทอื่นๆ ถ้าเราซื้อตั๋วแล้ว เราต้องเสียตังค์เพิ่มอีกคนละ 2 ริงกิต เพื่อนั่ง Rapid KL (รถประจำทางไฮโซมีแอร์ และที่นั่งกิ๊บเก๋) ออกไปนอกเมืองเกือบ 20 นาที เพื่อไปขึ้นรถซึ่งจอดรวมกันอยู่ (เราจำชื่อสถานที่ไม่ได้แล้ว) อาจเพราะที่ Puduraya มันเล็กมาก และรถทัวร์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเป็นการถาวร

M15

ครั้งนี้พอก่อน

เป็นการเขียนบล็อกที่เหนื่อยมาก

ใช้เวลาเรียบเรียงในหัวอยู่หลายวันว่าจะทำยังไงให้มันไม่ยาวเฟี้อย และไม่น่าเบื่อ ซึ่งเราก็ทำไม่ได้

ใครที่ทนอ่านมาได้ก็ขอบคุณมากๆ

ตอนนี้มือหงิกแล้ว คิดไปพิมพ์ไปเซฟไป แถมเลือกรูป ทำรูปอีก…เดี๋ยวรูมาตอยด์กำเริบ

Life as a journey

02

life as a journey

journey is my life

เพิ่งกลับจากเชียงใหม่เมื่อวาน

ไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรือทำอะไรมากมายเหมือนเดิม ไปเชียงใหม่ก็เหมือนย้ายร่าง เปลี่ยนที่ซุกหัว ที่กินแค่นั้นแหล่ะ แต่ที่นั่นมันทำให้เราหลับง่าย เจริญอาหาร และสบายใจซะทุกครั้ง

กลับมาคราวนี้ก็ทำให้เราสามารถยืนยันกับตัวเองได้ซะทีว่าเราจะเอาจริงเอาจังกับการเดินทาง จริงๆ ก็ชอบและอยากเอาจริงมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ด้วยหลายๆ อย่างที่ไม่อำนวยทำให้เราทำอย่างใจไม่ได้

01

นโยบายส่วนตน

“เที่ยวทุกเดือน”

ตั้งแต่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ บวกกับอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราไม่รีรอที่จะออกไปไหนต่อที่่ใจอยาก เพราะถ้ามัวแต่รอก็ไม่รู็ว่ามันจะสายเกินกว่าจะไปไปเยือนหรือเปล่า เอาเป็นว่าถ้าไม่ติดเรื่องเวลามาก ไม่ขัดสนเรื่องเงินทองเกินไป…จะไปหา

โชคดีที่เราเป็นคนไม่ติดหรู (ถึงแม้จะอยากก็ทำไม่ได้) เลยทำให้เที่ยวได้บ่อยขึ้น

มาลองดูมั้ยว่าครึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเราไปไหนมาบ้าง

มกราคม-กลับบ้านนอกที่นครสวรรค์

กุมภาพันธ์-เชียงใหม่, เกาะล้าน

เมษายน-เกาะช้าง

พฤษภาคม-ภูเก็ต

มิถุนายน-เกาะสีชัง

สิงหาคม-พะงัน, สมุย

กันยายน-เชียงใหม่

อาจจะไม่ครบทุกเดือน แต่ปีนี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี และจะลองทำต่อไป

ไปแล้วก็จะเอากลับมาเล่า มาอวดกันแน่ๆ ไม่ต้องกลัว ได้อิจฉาแน่ๆ