ก่อน…

วันแรกของปีใหม่

วันสุดท้ายของปีเก่า

31 ธันวาคมเป็นเส้นแบ่งเขต เป็นวันปิดทำการของปีเก่า เพื่อย่างก้าวเข้าล่วงปีใหม่ๆ

ซึ่งทุกปีเรามักจะใช้เวลาคืนข้ามปีอยู่คนเดียว ไม่ใช่เพราะอยากติสท์ แต่อยากใช้เวลาที่ทุกคนกำลังนับถอยหลังและเฉลิมฉลองของใหม่-ปลอบใจของเก่านี้เพื่อทบทวนอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมาตลอดทั้งปี อาจจะด้วยการนั่งกินเบียร์ที่ดาดฟ้าหรือระเบียง, เปิดเพลงเบาๆ , เปิดทีวีเพื่อดูข่าวจากหลายมุมโลก, นอนอ่านหนังสือ, เช่าหนังมาดู, จัดห้อง, ล้างห้องน้ำ ฯลฯ

ไม่ได้มีอะไรพิเศษ,

แต่เรารู้สึกพิเศษที่ได้ทำ

เราไม่ชอบการออกไปกระทบไหล่ใครต่อใครในผับ คลับ บาร์ หรือแม้แต่บ้านเพื่อน เพราะผู้คนคลาคล่ำจนเกินไป มันไม่เหมาะกับการเสียช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งไปกับคนอื่นๆ การได้ฉลองกับตัวเองเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและน่าจดจำมากที่สุด

ปีที่ผ่านมาเราเสียน้ำตาไปไม่น้อย ถ้าจะชั่งตวงวัดก็คงหลายลิตร หลายถังเลยทีเดียว น้ำตาหมดไปกับหลายเรื่อง และหลายหยาดหยดก็ซ้ำรอยอยู่กับเรื่องเดิมๆ แต่เรารู้ตัวเองดีว่าน้ำตาจะไม่ระเหยไปเปล่าๆ แน่นอน เราเป็นคนเสียดายน้ำ แม้ในตอนที่ผิดหวัง เสียใจ เหนื่อยหน่าย เราจะหมดเปลืองทรัพยากรน้ำตาไปมหาศาล แต่เราต้องทวงความสูญเสียนั้นกลับมาให้ได้

ไม่ได้บอกว่าเราจะเข้มแข็งขึ้น,

แต่เราจะเรียนรู้จากมันมากขึ้น

เพราะคงไม่มีใครอยากจะเดินบนเส้นทางเดิมๆ ที่ขรุขระและมีอะไรตำเท้าเราตลอดเวลา เพราะนอกจากจะน่ารำคาญแล้ว มันยังทำให้เราเจ็บอีกด้วย ยืนยันตรงนี้ไว้เลยว่า “เรารักตัวเอง…”

.

.

.

ก่อนที่ปีเก่าจะหมดอายุและผ่านพ้น

เราขอใช้โอกาสนี้อวยพรทุกคนล่วงหน้าไปก่อน

ขอให้ทุกคนค้นพบความฝัน เดินไปตามหาและทำมันให้สำเร็จ

(ประโยคนี้ตั้งใจบอกตัวเองเป็นหลัก)

ขอให้ชีวิตในปีใหม่สงบและปลอดโปร่ง

มีความสุขกาย สุขใจกันแบบพอดิบพอดี

“ส วั ส ดี ปี ใ ห ม่  2 5 5 1”  

นางพญาเสือโคร่งบานแล้ว!!!

blossom.jpg

แวะมาบอกข่าวว่า…

นางพญาเสือโคร่งบ้านแล้ววันนี้ทุกดอย

อาจเพราะอากาศของโลกผันผวน

อุณหภูมิของโลกแปรปรวน

ดอกไม้ดอกหญ้าเลยสะพรั่งกันไม่เป็นเวลา

นางพญาเสือโคร่งที่ขุนช่างเคี่ยน ดอยปุยบานพักใหญ่แล้ว

หลังปีใหม่อาจจะเริ่มโรยรา

ใครอยากไปเห็นความสวยสดที่บรรยายด้วยภาษามนุษย์ไม่ได้

ก็ต้องรีบๆ กันหน่อย มันจะบานแค่ประมาณ 2 อาทิตย์เท่านั้น

ทดเวลาบาดเจ็บ

     สุนันทาบาดเจ็บแต่ไม่สาหัส (ถ้าอาการสาหัสหมายถึงนอนในโรงพยาบาล และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้) คลับคล้ายว่าพิการฝั่งซ้ายไปชั่วคราว เปล่า, ไม่เกี่ยวกับหัวใจ มันยังเต้นตามจังหวะและค่อนข้างปกติดีอยู่ แต่ไอ้ที่เป็นปัญหาคือ เอ็นที่หัวไหล่ซ้ายมันอักเสบ

     ผลคือ ตอนนี้แขนข้างซ้ายเราใช้งานแทบไม่ได้ ขยับหรือจะยกจะเจ็บแปลบ ปวดแบบเสียวๆ ขึ้นมาทันที ทรมาณและหงุดหงิด เพราจากเดิมที่เคยทำอะไรด้วย 2 มือมาตลอด ตอนนี้ไม่ว่าจะอาบน้ำ, ใส่-ถอดเสื้อผ้า, หยิบของ หรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่ใช้ 5 นิ้วข้างขวาจิ้มตัวอักษรบนแป้นพิมพ์

     จริงๆ มันก็พอขยับได้บ้างแต่หมอขอร้องว่าพยายามอย่าใช้งานมันจะได้หายเป็นปกติเร็วๆ เราก็เชื่อหมอนะ แต่แม่งโคตรอึดอัด อย่างวันนี้จริงๆ ตั้งใจจะเล่าเรื่องที่ไปเที่ยวเชียงใหม่ แต่ไหนจะต้องตัดแต่งภาพประกอบ ซึ่งเราไม่สามารถใช้เพียงหนึ่งมือกับ photoshop ได้ แต่ยังไงก่อนปิดปีใหม่เราจะเอารูปมาลงให้ได้เพราะดอกนางพญาเสือโคร่งที่บานสะพรั่งไปทั้งดอยปุยมันทำใหเราอยากอวด

     พอดีกว่า เดี๋ยวไม่มีใครเชื่อว่าพิมพ์ได้ช้ามากจริงๆ

     pink.jpg

ไม่มีทั้งขนมจีบและซาลาเปา

     ถ้าเกิดเราดันเปรี้ยวปากอยากกินขนมจีบ, ซาลาเปา หรือ ชี้สไบท์ขึ้นมา คงต้องเหงือกแห้งเพราะไม่ได้ไปซื้อหามากินให้หายอยาก ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะที่เวียดนาม, อย่างน้อย ที่ฮานอย-ฮอยอัน และเว้ ไม่มีเซเว่นอีเลฟเว่น อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานั้นและในรัศมีการใช้ชีวิตที่เรามองไม่เห็นป้ายเขียวๆ ที่มีเลข 7 เป็นสัญลักษณ์ และอย่าว่าไปถึงเซเว่นฯ เลย ร้านมินิมาร์ทเล็กๆ ที่หน้าตาคุ้นเคยเคยอย่างแฟมมิลี่ มาร์ทและตระกูลอื่นๆ เราก็ไม่เห็นเหมือนกัน

     เรียกง่ายๆ ว่าตอนไปเวียดนามเราไม่ได้ใช้ประโยชน์ของคอนวีเนี่ยน สโตร์เลย

     คำถาม คือ แล้วคนเวียดนามเค้าจะทำยังไงถ้าเกิดหิวตอนดึก, ปวดท้องกระทันหัน หรือ แค่เหงาอยากจะเดินเลล่นไปหาเพื่อนบ้านที่เปิดรอตลอด 24 ชั่วโมง ฯลฯ

     คำตอบของคำถามนี้ไม่มี

     แต่ให้นึกภาพประเทศไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน เราเคยอยู่กันได้อย่างไร ชาวเวียดนามก็ใช้ชีวิตไปอย่างนั้น ไม่แน่ใจว่าคนกรุงเทพจะพอนึกภาพออกไหม แต่เด็ก ตอจอวอ อย่างเรารู้ดี จำได้ว่าตอนที่อยู่ชั้นประถมฯ ที่จังหวัดนครสวรรค์กำลังจะมีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เป็นครั้งแรก ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านั้นก็มีห้างเล็กๆ ตั้งอยู่มาก่อนแล้ว แต่ห้างใหม่ครบวงจรกว่า ใหญ่กว่า และ ทันสมัยกว่า เท่านั้นเองวิถีชีวิตของเราชาวปากน้ำโพก็เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีห้างนั้นเราจะอยู่กันอย่างไร

     ค่าที่ทุกหัวระแหงในบ้านเมืองเรามีเซเว่นฯ เลยทำให้พฤติกรรมการบริโภค (ที่ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องกิน) เป็นแบบไม่หยุดยั้งแม้ช่วงเวลาดึกดื่นนั่นเพราะเรารู้ว่ามันมีของรองรับความอยาก ความต้องการแบบปัจจุบันทันด่วน ซึ่งในทางหนึ่งมันดีมากหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน แต่ในอีกด้านหนึ่งเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้เราประมาทกับการใช้ชีวิต และขาดการระงับยับยั้งชั่งใจ

     อยากอะไรก็ต้องได้เดี๋ยวนั้น, มันก็สอดรับกับระบบโลกอย่างกลมกลืน

     คิดๆ ขึ้นมาแล้วก็บอกกับตัวเองว่าถ้าเกิดในคราวนั้นอยากกินขนมจีบ หรือ ซาลาเปา และผลิตผลจากเซเว่นขึ้นมาจริงๆ ถ้าไม่ตระเวณหาร้านที่ขายติ่มซำ ก็คงบอกตัวเองให้ระงับอาการเปรี้ยวปากแล้วรอกลับมากินที่บ้านเราแทน เพราะของบางอย่างหากเราไม่สนองมันเลยในทันทีที่รู้สึก มันจะทำให้เราเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อมันทันที อย่างน้อยที่สุด เราอาจจะไม่ได้มองว่าขนมจีบเซเว่นฯ เป็นแค่ของยัดเยียดขายเท่านั้น

เนื้อคู่

ตอนไป Tam Coc เราเจอเนื้อคู่

ตรงสเป็ค

เห็นแว้บเดียวแล้วปิ๊ง

p1020735.jpgp1020736.jpg

เขากับเพื่อนอีก 2 คนลงเรือพร้อมกับเราและเพื่อน

คนละลำ แต่แล่นไปใกล้ๆ กัน

เรือของเขาและเพื่อนๆ พายล้ำหน้าเราไปนิด

p1020746.jpg

เราเลยขอให้นายท้ายส่งพายมาให้เรา 1 อัน

บึ้ดจ้ำบึ้ด บึ้ดจ้ำบึ้ด

p1020781.jpg

สุนันทาเร่งมือเพื่อให้เรือไปใกล้เนื้อคู่ของเรามากที่สุด

และ….สำเร็จ

p1020748.jpg

เราได้ตีคู่ และมีการพูดคุย หยอกล้อ แซวกันสั้นๆ

หญิงไทยใจงามอย่างเรายกกล้องเพื่อแอบเก็บภาพเค้า

ทำทีเป็นถ่ายวิว โคตรจะไม่เนียนเลย

เค้ารู้ตัวแล้ว แต่เรายัง

กว่าจะรู้อีกที เรือเราก็นำโด่ง

p1020819.jpg

หันไปมองข้างหลัง ลำของเนื้อคู่พายอย่างเอื่อยเฉื่อย…เซ็งสุดๆ

ความหวังยังมีรางๆ

เพราะถ้าเกิดพายไปจนสุดถ้ำที่ 3 เราจะได้เจอกัน

เราไปรออยู่แล้วที่ปลายทาง และเมื่อเขาพายมาถึง

กลับลำแล้วพายหนีไปท่ามกลางสายน้ำ

เราตามไม่ทัน…

กว่าจะมาถึงฝั่งเนื้อคู่หายไปแล้วพร้อมไอ้เพื่อนฮิปปี้อีก 2 คน

เศร้า

หลงทาง

     ตอนไปเที่ยวเวียดนามเรากับเพื่อนเดินหลงกันทุกวัน วันละเกิน 2 ครั้งด้วย ทั้งที่ในมือก็มีแผนที่ ทั้งที่ปากก็ถามใครต่อใคร แต่สุดท้ายก็ต้องเดินอ้อม เดินวนไปนานกว่าจะถึงจุดหมายที่ตั้งใจ หลงมากๆ เข้าก็มีเหนื่อย เมื่อยขา บ่นกระปอดกระแปดกันไปตามประสา

     ฮอยอันเมืองเล็กๆ เรายังหลง

     ไปอยู่เว้แค่คืนเดียวก็แอบงงๆ บ้าง

     อยู่ฮานอยตั้ง 4 คืนยังเดินหลงจนวันสุดท้าย

     หรือ ‘การหลงทาง’ จะเป็นกิจกรรมหลักของนักเดินทาง คิดเอาเองว่าใครต่อใครก็คงหลง ไม่หลงมันจะไปสนุกอะไร คิดดูนะว่าถ้าไปถึงแล้วอ่านแผนที่แม่น จะไปไหนก็พุ่งตรงได้เลย รสชาติแห่งการสัมผัสที่แปลกถิ่นก็คงสูญหายไปหล่ะนะ

     หนหนึ่งเรากับเพื่อนเดินไปเจอร้านขายไอติมเจ้าดังของฮานอยโดยบังเอิญ ตลกดี ทั้งที่เคยอ่านในหนังสือมาแล้วแต่ก็คิดว่าไปถึงแล้วคงหาไม่เจอ

     อีกครั้งหนึ่งเดินไปมั่วๆ ก็โผล่ไปเจอทะเลสาบ Hoan Kien ซะอย่างนั้น ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไปทำอย่างอื่นก่อนแท้ๆ ได้แต่ประหลาดใจว่าเจอได้ยังไง

     ‘การหลงทาง’ ทำให้เราได้คุยกับคนเยอะ ทั้งภาษาไทยปนอังกฤษ แถมด้วยภาษาใบ้ ภาษาท่าทางอันชาญฉลาด ทักษะการวาดภาพประกอบที่คนดูคงฉงน แถมในระหว่างทางที่เราเดินหลงๆ ไปมันก็ให้เราเจอความสวยงามรายทางที่ถ้าเราพุ่งตรงไปคงไม่มีวันเจอ

     หลงทางอาจทำให้เสียเวลา

     แต่เวลามันไม่ได้มีค่ามากเสียจนเราจะยอมเสียมันไม่ได้

     โดยเฉพาะถ้าหลงแล้วไปเจอทางใหม่ๆ

     ก็เท่ากับว่าเราได้มากกว่าเสีย

     walk.jpg

    

    

Postcards from Heaven

     เปิดประตูห้องเมื่อวานก็ต้องตื่นตะลึงกับโปสการ์ดมากมายที่นอนกระจายตัวอยู่ใต้ประตู เมื่อหยิบขึ้นมานับคร่าวๆ ก็ต้องบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของชีวิตเราเลยว่า “เป็นวันที่ได้รับโปสการ์ดในคราวเดียวมากที่สุด”

p1030106.jpgp1030110.jpg

     ก็ตั้งแต่เริ่มเขียนและอ่านมา ครั้งนี้ได้รับมากถึง 18 แผ่น!!!

     จะว่าไปมันก็คงไม่เยอะมากเท่านี้ถ้าไม่รวมเอาที่เราเขียนหาตัวเองตอนอยู่เวียดนามด้วย 5-6 ใบ แต่ยังไงก็เหอะการที่กลับห้องแล้วมีโปสการ์ดนอนรอให้อ่านเยอะขนาดนี้นี่เป็นความรู้สึกที่เกินบรรยายจริงๆ

     ปึกโปสการ์ดเมื่อวานถูกเขียนและถูกส่งมาจาก 2 ประเทศ คือ เวียดนาม และ ญี่ปุ่น

     จากเวียดนามก็เขียนโดยตัวข้าพเจ้าเองนี่แหล่ะ และมี 1 แผ่นเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ ที่ทำเราอมยิ้มขณะที่นึกถึงคนเขียน ซึ่งคือ เพื่อนสาวคนสวยที่ร่วมทริปไปกับเรานั่นเอง เพื่อนแอบเขียนตอนที่เรายังหลับปุ๋ย เนื้อความในนั้นก็ไม่มีอะไรมาก แค่บอกว่าการได้มากิน นอน เที่ยวของพวกเราครั้งนี้ แม้จะเจอทั้งเรื่องดี ไม่ดี แต่สุดท้ายความรูสึกที่เกิดขึ้นมันดีต่อจิตใจ

     อยากบอกเพื่อนคนนั้นเหมือนกันว่า รู้สึกแบบเดียวกัน

     ส่วนโปสการ์ดที่ส่งมาจากประเทศในฝันของเราเขียนโดยคนแถวนี้ ที่เราไม่คาดคิดมาก่อน คือ ก็รู้นะว่าคงจะได้สักแผ่นสองแผ่นแหล่ะ แต่ไม่นึกว่าคนเขียนจะนึกถึงเรามากขนาดนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ซาบซึ้งใจนะ การที่มีใครคนหนึ่งคอยคิดถึงเราอยู่เสมอ จนกลั่นออกมาเป็นข้อความที่มีพลัง สดใส และจริงใจมากขนาดนี้

      การได้รับ ได้อ่านข้อความที่ถูกเขียนขึ้นด้วยความตั้งใจ หรือ อาจจะแค่นึกถึงในช่วงเวลานั้น มันเหมือนเป็นสาสน์ที่ส่งมาจากสวรรค์จริงๆ

     อาจฟังดูเหมือนเลี่ยน

     แต่มันเป็นความเลี่ยนที่เราไม่เคยเบื่อมันเลยสักที

ฮอยอัน : เมืองสมมติที่มีอยู่จริง

**ข้อเขียนชิ้นนี้ เป็นเพียงมุมมองหนึ่งของผู้เขียนที่มีโอกาสอันน้อยนิดไปสัมผัสกับเมืองเล็กๆ ที่ชือว่าฮอยอัน ประเทศเวียดนาม ผู้เขียนไม่มีเจตนาตัดสินว่ามันดี หรือ ไม่ดีอย่างไร เพียงอยากถ่ายทอดความคิดเห็นและความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น ไม่ได้พาดพิงหรือเขียนขึ้นโดยใช้ความรู้ในด้านใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ประวัติศาสตร์, สถาปัตยกรรมศาสตร์, คณิตศาสตร์, สังคมและมานุษยวิทยา, วิทยาศาสตร์, ศาสนศาสตร์, รัฐประศาสนศาสตร์ หรือ แม้แต่ไสยศาสตร์ ดังนั้น หากข้อเขียนส่วนตัวชิ้นนี้ทำให้ใครไม่พอใจ ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้**

p1010552.jpgp1010559.jpgp1010623.jpg

p1010564.jpgp1010614.jpgp1010546.jpg

     ตอนแรกที่คิดจะไปเวียดนาม เราวางแผนเอาไว้ว่าจะนอนที่ฮอยอัน เมืองเก่าเล็กๆ ทางตอนกลางของประเทศเวียดนามสัก 3 คืน และเมื่อเอาไปปรึกษาคนที่เคยไปเยือนมาแล้ว ทุกเสียงต่างบอกว่า “สองคืนก็พอแล้ว”

    ครั้งนั้นเราค้านหัวชนฝาเพราะเราอ่านเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้มาเยอะ และค่อนข้างจะหลงรักมันไปทั้งๆ ที่ยังไม่เคยพบหน้า และแม้จะไม่เคยดูละครที่ชื่อว่า ‘ฮอยอันฉันรักเธอ’ สักตอนก็ตาม แต่เราเชื่อว่าเราต้องหลงใหลมันอย่างไม่มีข้อแม้ เราเลยยังไม่เปลี่ยนแผนที่ว่าจะนอนค้างที่นั่น 3 คืน เพื่อทำตัว ‘ชิลชิล’ ตามประสาคนเมืองที่มักกรี๊ดกร๊าดกับเมืองเล็กๆ แต่มีความ ‘คูล’ สูง และมีความสงบเยอะ

     เมื่อเราถึงฮอยอันจริงๆ และได้เดินทอดน่องไปทั่วทั้งตัวเมืองเก่า เราก็เกิดอาการคันยิบๆ ในหัวใจ นี่อาจเป็นอาการที่ใครๆ ต่างเรียกว่า ‘ตะหงิดใจ’

     เรากับเพื่อนสาวอีก 2 คนเช่าจักรยานเพื่อปั่นเล่น แต่จักรยานดูจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ เพราะฮอยอันน่ารักจนพวกเราต้องจอดเพื่อถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ตลอดเวลา แม้จะเพิ่งปั่นไปยังไม่ทันเหนื่อย แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

     ฮอยอันเหมาะกับการยกกล้องเพื่อเก็บภาพ ทั้งภาพแบบที่มีคน และถ่ายตึกรามไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือน ‘ถูกสร้าง’ มาเพื่อการนี้ ตะไคร่, ถนนโทรมๆ, ตึกเก่าๆ, ร้านขายของที่ระลึก, ผู้คน ฯลฯ ทุกเหลี่ยม ทุกมุมน่ารัก สวยสด และงดงามไปหมด เพียงแต่สักครึ่งวันเราก็เริ่มเบื่อๆ เริ่มรู้สึกว่ามันน่ารักจนเกินไป น่ารักจนเหมือนไม่มีจริง เหมือนเป็นเมืองตุ๊กตา เหมือนเป็นสตูดิโอถ่ายภาพขนาดใหญ่ คล้ายๆ กับยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ

     จริงอยู่ที่เรายังไม่เคยเห็น ไม่เคยไปยูนิเวอร์แซลฯ สักแห่ง แต่ฮอยอันทำให้เรารู้สึกแบบนั้น แต่ถามว่าสนุกหรือเปล่า ชอบหรือไม่เมื่ออยู่ที่นั่น, แน่นอนว่าเราไม่ปฏิเสธ แต่เราดันชอบเมืองที่มีชีวิตชีวามากกว่านี้ แบบไม่ต้องสวยมาก ไม่ต้องให้ความรู้สึกของการถูกสร้างมากเท่านี้ อยากให้เป็นตัวของตัวเอง

     หลังจากที่ตะลอนไปมา 3 เมือง คือ ฮานอย, ฮอยอัน และ เว้ เราชอบฮานอยมากที่สุดเพราะมันดูสมจริงดี ไอ้เรื่องความงดงาม น่ารัก เราต้องเดินไปเจอด้วยตัวเอง ไม่ได้ตั้งตระหง่าน รอต้อนรับเราอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง

     ส่วนเว้ เป็นเมืองที่เราค่อนข้างเสียดาย เพราะมีโอกาสไปอยู่แค่ 1 คืน เท่านั้น แต่มันก็เพียงพอที่เราจะซึมซับความเป็นเมืองที่มีระเบียบมากที่สุดเมื่อเทียบกับอีกสอง ถนนทุกเส้นจะเต็มไปด้วยต้นไม้ ไฟจราจรและทางม้าลายมีอยู่และใช้งานได้จริง แม้น้ำที่ไหลผ่านกลางเมือง เติมความสดชื่นได้อย่างง่ายดาย

     สุดท้ายแล้ว, เรากับเพื่อนตัดสินใจเปลี่ยนแผนด้วยการค้างที่ฮอยอันแค่ 2 คืน เพราะไม่รู้จะทำอะไรดีแล้ว ถ้ามีคนรักมาด้วยคงดีไปอีกแบบ เพราะค่ำคืนของฮอยอันโรแมนติคเหลือล้น ร้านรวงสรรค์สร้างความหวานละมุนให้กับคู่รักที่แวะมาเยือนได้อย่างน่าประทับใจ จนเราอดอิจฉาไม่ได้

     ถึงตรงนี้ ถ้าใครมาถามเราว่า

     “ฮอยอันสวยหรือเปล่า?”

     “ฮอยอันน่าไปเที่ยวไหม?”

     เราคงตอบไปตามความรู้สึกว่า “เป็นที่ที่ควรไปรู้จักมันสักครั้ง เราไม่เชื่อหรอกว่าใครจะไม่ชอบมัน เพราะเราเองก็ชอบ….”

     แต่ก็แค่ชอบพอมันเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นผูกพันธ์จนอยากจะกลับไปเยือนอีก 

เธอมาจากดาวดวงไหน?

where are you from?

ฉันมาจากดาวรูปขวานที่มีชื่อว่า ประเทศไทย

     ตอนไปเที่ยวเวียดนาม คำถามท็อปฮิตอันดับหนึ่งที่โดนชาวเวียดฯ และชาติอื่นๆ ที่ได้พบปะระหว่างทางถามมากที่สุดคือ “where are you from?”

     เราก็ตอบตามความเป็นจริงออกไป

     ถ้าเป็นชาวต่างชาติก็ไม่มีใครใคร่สงสัยมากนัก แต่ถ้าคนเวียดนามถามเมื่อไหร่ก็ดูจะไม่ค่อยเชื่อในคำตอบที่ได้ยินมากนัก ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเค้าคิดว่าเราเป็นคนเวียดนาม บางคนถึงขั้นพูดภาษาท้องถิ่นใส่เราเลยทีเดียว พอเราทำหน้าซื่อตาใสว่าไม่รู้เรื่องจริง จริ๊ง เค้าก็เอาใหญ่ใส่มาเป็นชุด และทำหน้าไม่เชื่อเราซะเต็มประดา

     เราบอกเพื่อนที่ไปด้วยกันว่า “อยากซื้อเสื้อยืดที่สกรีนคำว่า ‘I’m not Vietnamese’ ซะให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องคอยบอกทุกครั้งว่าฉันไม่ใช่นะยะ”

     พอโดนกระทำเช่นนั้นหลายๆ ครั้ง ทำให้เราอยากจะไปเรียนภาษาเวียดนามขึ้นมาจริงๆ แบบว่าฟังได้รู้เรื่อง พูดได้แบบคล่องปาก เวลาไปเวียดนามใครนินทาจะได้รู้เรื่อง แถมยังโต้ตอบกลับไปได้ทันควัน ก็นะ…อุตสาห์มีใบหน้าที่เนียน กลมกลืนซะขนาดนี้ อยากจะใช้ให้เป็นประโยชน์ไปซะเลย

im-thai.jpg