ชาวเรือ

อยู่กรุงเทพมาห้าหกปี เราใช้บริการเรือแทบนับครั้งได้ และไอ้ที่นับได้ก็ไม่น่าจะเกิน 5 ครั้ง เฉลี่ยแล้วก็ตกประมาณปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งจริงๆ ที่เราไม่เลือกนั่งเรือไปไหนมาไหนก็ไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากว่ากลัวตกน้ำ แล้วที่กลัวตกน้ำนี่ไม่ใช่เพราะว่ายน้ำไม่เป็น เราว่ายน้ำแข็งเลยแหล่ะ แต่สภาพน้ำสีดำปี๋ในคลองนี่มันไม่น่าอภิรมย์ชมชอบจริงๆ นอกจากจะเหม็นมากๆ แล้ว ไม่รู้สารพันเชื้อโรค เชื้อราอะไรว่ายเวียนวนอยู่บ้าง

นั่นแหล่ะ,

ถ้าเลือกได้ อยู่ดีๆ ใครจะอยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการตกน้ำกันล่ะ

รถเมล์แน่นก็ยังพอทน แต่เวลาเห็นคนโหนเรือแน่นๆ แล้ว กลัวจริงๆ แถมเรายังเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายกับการนั่งเรือกลับบ้านย่านรามคำแหงด้วย เลยฝังจิตฝังใจจำซะแน่น และบอกตัวเองว่าจะไม่ขึ้นเรืออีกแล้วถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย…แต่เมื่อไม่นานมานี้ น้องแยม น้องที่ออฟฟิศชักชวนกลับเรือด้วยกันด้วยเหตุผลที่ว่าเรือเร็วกว่ารถ ตอนแรกเราก็อิดออด จนน้องแยมต้องบอกว่า

“พี่ต้องให้โอกาสเรือมันได้แก้ตัวบ้าง ครั้งที่แล้วเจอเรื่องไม่ดี แต่มันคงไม่ดีไปตลอด”

ได้ฟังดังนั้นแล้ว ดวงตาเราจึงเห็นธรรม ตกลงปลงใจกลับบ้านพร้อมกันโดยเรือ วันแรกก็กล้าๆ กลัวๆ งกๆ เงิ่นๆ ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าป้ายที่ผ่านแต่ละป้ายคืออะไร ยังไง แต่วันหลังๆ เริ่มจำที่ทางได้บ้างแล้ว ที่สำคัญ เราติดใจการนั่งเรือกลับบ้านเอามากๆ แล้ว จนไม่นึกอยากจะเดินจากตึกไปป้ายรถเมล์ซึ่งอยู่ไกลโข แถมยังต้องยืนขาแข็งรอรถเมล์ซึ่งแน่นได้อีก

สมมติว่าออกจากออฟฟิศ 1 ทุ่ม อาจจะถึงห้องแบบเหนื่อยๆ ตอน 3 ทุ่มก็เป็นได้

ตอนนี้รู้สึกชีวิตดีขึ้นมาก ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องลนลาน เดินออกจากออฟฟิศตอนใกล้ๆ 2 ทุ่ม แต่ยังถึงบ้านในเวลาเลย 2 ทุ่มมานิดหน่อย เพราะรวมๆ แล้ว จากท่าเรืออโศกถึงท่าเรือราม 29 ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น!

ถึงแม้จะไม่ได้ใช้บริการทุกวัน (เช่นวันที่ฝนตก หรือไปทำธุระที่อื่น) แต่ก็พอจะเรียกได้เต็มปากแบบไม่เคอะเขินว่าตอนนี้สุนันทา และชาวคณะ (น้องแยมและน้องกี้) ก็เป็นชาวเรือไปอย่างเต็มตัวแล้วจ้า

ออกกำลัง…

เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านไปชักชวนกับใครบางคนกันไปออกกำลังกาย นานๆ ถึงจะมีเวลาว่างตรงกันที่ว่างจริงๆ ซะที ว่างจริงๆ หมายถึงวันทั้งวันไม่มีนัด หรือ ไม่มีธุระต้องไปทำอะไร ไม่มีแผน ไม่มีแพลนจะทำอะไร นอกจากเวลาเปล่าๆ ที่รอให้เราค่อยๆ ใช้มันไป

 

แบดมินตัน คือ กีฬาที่เลือกเล่น

อุปกรณ์ครบ

เสื้อผ้าพร้อม

คอร์ดอยู่ไม่ไกล

เป็นกีฬาที่เล่นถนัดที่สุดแล้ว

 

เย็นวันเสาร์และสายๆ วันอาทิตย์ คือ ช่วงเวลาที่เราเลือกไปเสียเหงื่อ แม้จะกลับมาพร้อมความเมื่อยล้าไปทั้งตัวเพราะน๊านนานเหลือเกินที่จะได้ออกกำลังกายอย่างจริงจัง แถมยังเก่งกล้าด้วยการไม่ยอมวอร์ม ไม่ยอมยืดกล้ามเนื้อก่อนลงเล่นอีก แต่การไปออกกำลังครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ดีต่อร่างกายแล้ว เรายังคิดว่ามันดีต่อจิตใจด้วย

เป็นการออกกำลังกายที่ออกกำลังใจไปด้วยในตัว

สัปดาห์นี้ยังไม่เข็ด คิดว่าน่าจะได้สะพายไม้แบดออกไปวาดลวดลายอีกครั้ง

ใครอยากร่วมแจมก็บอกกล่าวกันได้ เล่นแค่ 2 คนมันก็หงอยๆ นะ

รังอุ่น

ห้อง 502 บ้านอุดมทัรพย์,

เราย้ายมาอยู่ที่รังนอนใหม่ได้เกือบๆ จะครบ 3 เดือนแล้ว

คิดว่าเราน่าจะอยู่ไปจนครบ 6 เดือนปลายปีนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง

เพราะหลังจากที่ทดลองงาน ทดลองใช้และปรับตัวเข้าหากัน…เราก็ไปกันได้ดี

 

แม้ว่าห้องนี้จะดูดเก็บความร้อนตอนกลางวันเอาไว้ และปล่อยพลังอุ่นๆ ออกมาตอนหัวค่ำ

หรือเคยมีน้ำซึมๆ ตรงเพดานห้องตอนฝนตกหนักๆ มาบ้าง

แต่โดยรวมๆ แล้วการได้อยู่ ได้ใช้ชีวิตในห้องนี้ก็ปกติสุขและสะดวกสบายใจดี

 

ท่อน้ำตรงซิงค์ที่เคยรั่วก็เรียกช่างมาซ่อมแล้ว

แอร์ที่เหมือนจะไม่ค่อยเย็นก็แก้ไขแล้วโดยนายช่าง

ฝนที่เคยรั่วตอนนี้ก็เป็นแค่คราบจางๆ เพราะมีคนมาจัดการให้

อากาศอุ่นตอนหัวค่ำก็จัดการโดยเปิดประตูหลังห้องและบานเกล็ดระบายไว้

 

และแม้ว่าน้ำจากฝักบัวจะไหลเบาไปหน่อย

เสียงดังจากตึกข้างๆ ที่กำลังก่อสร้างอยู่

ระเบียงจะแคบไปสักนิด

แต่เมื่อแลกกับความเงียบสงบ สะอาด และปลอดภัยจากที่นี่

เราก็คิดว่ามันเป็นรังอุ่นๆ ที่เราน่าจะยังอยู่อีกนานไปซะแล้วหล่ะ

มื้อกลางวัน

 

3 วันมาแล้วที่เราไม่ได้ลงไปกินข้าวกลางวัน หรือซื้อข้าวกลางวันมากิน เหตุเพราะคนแถวๆ นี้ที่ท้อง ส่งผลให้คนที่ไม่ได้ท้องอย่างเรา และสมาชิกคนอื่นๆ ในออฟฟิศได้กินอาหารจากฝีมือญาติๆ สามีของเจ้าหล่อนอย่างอิ่มหนำสำราญใจไปตามๆ กัน ทั้งของคาว และอาหารหวานทั้งหลาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของดีของไทยทั้งน๊าน เช่น น้ำพริกปลาร้า, ข้าวต้มมัด หรือต้มส้มไก่ใบมะขาม เป็นต้น

ไม่มีรูปถ่ายมาให้ดู อยากให้จินตนาการกันเอาเอง เพราะคราวนี้ไม่ได้มีเจตนาจะมาอวดแต่อย่างใด นอกจากอยากจะบอกว่าการกินมื้อกลางวันหลายๆ คนมันอร่อยดี อิ่มอก อิ่มใจ อิ่มท้อง แถมประหยัดด้วย (อิอิ)

.

.

.

ขอบคุณเจ้านายและญาติๆ ผู้ใจดีของ Mr.Smith ที่ตั้งใจและขยันทำอาหารอร่อยๆ ดีๆ มาให้พวกเรากินกันทุกวัน (เอ๋ย์)

ปวดตา…

 

ปวดตา…อาจเพราะใช้งานมันหนักมากไปหน่อยในช่วงวันสองวันที่ผ่านมา

ดีที่ได้ยาลดน้ำมูกมาช่วย…ทำให้มึนและหลับไปได้โดยไม่ฟุ้งซ่าน

เป็นการป่วยที่ถูกจังหวะดีจัง

.

.

.

เดี๋ยวตาก็หายช้ำ

อยากไปเพราะหนัง (สือ)

มีหนังและหนังสือหลายๆ เรื่อง หลายๆ เล่ม ที่นอกจากจะทำให้เราอินไปกับเรื่องราวและตัวละครแล้ว ยังทำให้เราเป็นเอามากจนเก็บเอาไปใฝ่ไปฝันว่า อยากจะไปเดินเล่นเพื่อซึมซับอารมณ์ที่หนังได้เอาภาพมาให้ดู และโดยเฉพาะหนังสือที่บรรยายซะจนใจเราจินตนาการไปไวกว่าแสงเลยทีเดียว

หนังสือเล่มแรกๆ ที่ทำให้เราอยากไปไหนต่อไหน ก็คงเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นทุกเล่มที่ได้อ่านมาอย่างยาวนาน ยิ่งอ่านก็ยิ่งดูดซับเอาความเป็นญี่ปุ่นเข้าไปซะมากมาย จนอยากจะไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่น หรืออย่างน้อยแค่มีโอกาสแบกเป้ไปเดินเต็ดเตร่ไม่กี่วันก็ยังดี หรืออย่างหนังสือเรื่อง ยามเมื่อลมพัดหวน (วาณิช จรุงกิจอนันต์) ที่นอกจากจะโรแมนติคด้วยเรื่องราวสั้นๆ ของชงและการบูรแล้ว ฉากหรือสถานที่ในเรื่องก็ทำเอาเราเคลิบเคลิ้มไปเลยทีเดียว บอกได้เลยว่าการเลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสตอนมัธยมปลาย ก็มีส่วนจากการอยากไปเที่ยวปารีสด้วย

จริงๆ มีหนังและหนังสือมากมายหลายเล่มที่เราประทับใจในสถานที่ แต่ที่มากๆ ที่สุดก็เห็นจะเป็นพวกเขาหล่านี้

1. เกียวโต-ญี่ปุ่น อยากไปเพราะหนังสือ จดหมายจากเกียวโต (ฮิมิโตะ ณ เกียวโต)

2. ซานฟรานซิสโก-สหรัฐ อยากไปเพราะนวนิยาย แสงดาวฝั่งทะเล (กิ่งฉัตร)

3. น็อตติ้งฮิลล์-อังกฤษ อยากไปเพราะหนัง Nothing Hill (Roger Michell)

4. ฮ่องกง อยากไปเพราะหนัง And I hate You So (Chung Man Yee)

5. ฟลอเรนซ์-อิตาลี อยากไปเพราะหนังสือ Blu-Rosso (Blu ท์ซึจิ ฮิโตนาริ เขียน สมเกียรติ เชวงกิจวณิช แปล, Rosso เอคุนิ คาโอริ (ขวัญใจ แซ่คู)

6. ไซตามะ-ญี่ปุ่น อยากไปเพราะการ์ตูนชินจังจอมแก่น และ การ์ตูน Green (โยชิโตะ อุสึอิ, โทมิโกะ นิโนมิยะ)

7. โอกินาว่า-ญี่ปุ่น อยากไปเพราะหนัง Okinawa Rendez-Vous (Gordon Chan)

แต่ถึงไม่ได้ไปจริงๆ

ความประทับใจในฉากและสถานที่ต่างๆ ในหนังและหนังสือก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง