แม่ฉันเป็นคนไม่รู้หนังสือ
ไม่รู้หนังสือแปลว่า อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
แม่ไม่ได้รับการศึกษาในระบบก็เลยเขียนและอ่านไม่ได้
ชีวิตวัยเด็กของแม่มาจากครอบครัวแตกแยก พ่อไปทาง แม่ไปทาง และแม่ก็ต้องไปอีกทาง
ทางที่แม่ไปก็สุดแท้แต่ยายและญาติจะเลือกให้ เมื่อชีวิตแม่เป็นแบบนี้ หนทางที่จะได้เรียนก็ตีบตัน
…
พ่อของ ‘ผม’ ในหนังสือเรื่อง ‘คนไม่รู้หนังสือ’ ก็เหมือนกับแม่ของฉัน
ชีวิตของเขาอยู่ใต้การปกครองดูแลของเจ้าของที่ดิน
ตั้งแต่เกิดและยังจำความไม่ได้ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเขาก็ต้องทำงานในที่ดินของคนอื่น ที่หยิบยื่นที่อยู่ที่กินให้แล้ว และเมื่อเขาพอจะจำความได้ก็ต้องสืบทอดการทำงานหนักเพื่อผลประโยชน์ของท่านบารอนและบารอนเนสด้วยความภักดิ์ดีอย่างชนิดที่ ‘เลือกไม่ได้’
เมื่อพ่อของ ‘ผม’ ได้รับอิสระจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสวีเดนและทั้งยุโรป
ระบบศักดินาถูกเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย การถือครองที่ดินโดยคนๆ เดียวถูกเปลี่ยนมือ
แต่การจะเริ่มนับหนึ่งกับชีวิตที่ผ่านวัยกลางคนมาแล้วนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะกับคนไม่รู้หนังสือ
ชีวิตใหม่ของคนไม่รู้หนังสือ
มีอุปสรรคนั่งรอให้เขาและครอบครัวต้องผ่านด่านอีกมาก
หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เห็นภาพจริงในสังคมสวีเดนยุคนั้นว่าคนจน คนไม่รู้หนังสือ คนชายขอบ ชนชั้นแรงงาน หรือ คนชั้นล่างต้องโดนกระทำจากการที่อยากมีอิสระ จากการที่อยากมีที่ดินทำกินของตัวเองอย่างไรบ้าง
อีวาร์ ลู-ยูฮันซ์ซอน
นักเขียนชาวสวีเดนที่เป็นปากเป็นเสียงให้กับคนไร้โอกาสเหล่านั้น
เพราะเขาก็เติบโตมาจากครอบครัวที่ต้องทำงานแลกที่อยู่ที่กินจากเจ้าของที่ดินเช่นกัน
เขาทำงานหนัก ในขณะที่ได้เศษอาหารและกระท่อมหลังเล็กเป็นรางวัลจากเ้จ้าของที่ดิน
ความแร้นแค้นก่อเป็นความคับแค้น และทำให้เขาอยากเล่าความจริงออกสู่สังคมวงกว้าง และเขาก็ประสบความสำเร็จที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้คนในสังคมรับรู้จากตัวหนังสือของเขา
เราชอบอ่านหนังสือแนวสัจนิยมแบบนี้
แม้มันจะเจ็บปวด แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
และอาจจะทำให้คนอ่านได้เรียนรู้อะไรจากความจริงเหล่านั้นบ้าง
…
“พ่อเป็นคนไม่รู้หนังสือเพราะไม่เคยได้เรียน ดังนั้นเวลามีสิ่งใดเกี่ยวพันกับการเขียนจะถูกถือเป็นเรื่องใหญ่โตอยู่เสมอ สำหรับพ่อ ตัวหนังสือทุกชนิดมีอำนาจลึกลับ ที่ทำให้พ่อขึ้นต่อมันอย่างไม่มีเหตุผลทีเดียว”
แม่ของฉันต่างจากพ่อของผม
แม่ไม่เคยกลัวอะไรในการไม่รู้หนังสือ
แม่เป็นนักสู้ชนิดที่คนรู้หนังสืออย่างฉันยังทำไม่ได้
แม่เป็นตัวแทนของบ้านในการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ
แม่ออกหน้าเวลาเสมอในเวลาที่ต้องไปติดต่อกับราชการ หรือเอกชน
แม่ไม่เคยอายความไม่รู้หนังสือ แม่ไม่เคยกลัวคนที่รู้หนังสือ แม่พยายามใช้สิทธิ์ของแม่
ลายมือของแม่โย้เย้เวลาที่ต้องลงชื่อ
แม่หัดเขียนชื่อตัวเอง และหัดอ่านหนังสือเองง่ายๆ
น่าแปลกที่แม่เป็นคนสอนฉันเขียน ก.ไก่เมื่อตอนเด็กๆ ด้วย
…
ในหนังสือเล่มนี้นอกจากจะทำให้ฉันนึกถึงแม่ตลอดเวลาที่อ่านแล้ว
ยังทำให้นึกถึงครอบครัวของฉันในยุคที่ยังทำนา และยังนึกไปถึงการที่บ้านฉันถูกเอาเปรียบจากโรงสีบ้าง จากพ่อค้าคนกลาง หรือคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง โดยเฉพาะคนที่รวยกว่า ใหญ่โตกว่า มีหน้ามีตากว่า
การที่ระบบศักดินาถูกเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยไม่ว่าที่ใดในโลก
ฉันว่ามันแค่เปลี่ยนโฉมหน้าจากเจ้าของที่ดิน มาเป็นเจ้าของกิจการอื่นๆ เท่านั้นเอง
มันยังมีการกดขี่ ยังมีการเอารัดเอาเปรียบจากคนที่เหนือกว่าอยู่เสมอ
คนที่รู้หนังสือมากกว่า ใช้ความได้เปรียบในการฉกฉวยเอาประโยชน์จากคนที่ไม่ได้เรียน
ฉันไม่คิดว่ามันจะแตกต่างอะไรกันตรงไหน
โลกเราทุกวันนี้ยังอยู่ในยุคศักดินาที่ทุกคนพยายามแย่งชิงทรัพยากรกันอย่างเสรีและบ้าคลั่ง คนที่มีมากอยู่แล้วอยากได้มากเข้าไปอีกโดยที่ไม่พยายามแบ่งปันทรัพยากรนั้นให้กับคนที่ขาด
คนที่มีน้อยหรือไม่มีถูกผลักออกไปให้อยู่อีกโลกหนึ่ง
โลกที่ต้องใช้แรงงานมากแต่ได้ค่าตอบแทนน้อย หรือ โลกที่ต้องเช่าที่นาเพื่อทำกิน
ฉันเคยแอบสงสัยว่า,
คนที่ทำนาไม่เป็น ทำสวนไม่ได้ จะต้องมีที่มากมายไว้ทำไม
ในเมื่อมีคนมากมายที่พร้อมจะลงแรงกายแต่ขาดที่ดินทำกินเหล่านั้น
นี่เอง,
คือความเจ็บปวดสมจริง
ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยจากยุคแลนด์ลอร์ดในหนังสือเล่มนี้
….
พ่อของผมยังสู้ต่อไปด้วยความหวังเล็กๆ
แม่ของฉันก็ยังสู้ต่อไปด้วยการไม่หวังอะไรมาก
ชีวิตมันก็มีอยู่เท่านี้เอง, เราได้ทำในสิ่งที่เราเลือก แม้จะยาก แม้จะลำบากแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ใต้ความต้องการของใคร
นี่อาจจะเป็นความดีเพียงอย่างเดียวของประชาธิปไตย