Reading Friday : คนไม่รู้หนังสือ

แม่ฉันเป็นคนไม่รู้หนังสือ
ไม่รู้หนังสือแปลว่า อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้

แม่ไม่ได้รับการศึกษาในระบบก็เลยเขียนและอ่านไม่ได้
ชีวิตวัยเด็กของแม่มาจากครอบครัวแตกแยก พ่อไปทาง แม่ไปทาง และแม่ก็ต้องไปอีกทาง
ทางที่แม่ไปก็สุดแท้แต่ยายและญาติจะเลือกให้ เมื่อชีวิตแม่เป็นแบบนี้ หนทางที่จะได้เรียนก็ตีบตัน

พ่อของ ‘ผม’ ในหนังสือเรื่อง ‘คนไม่รู้หนังสือ’ ก็เหมือนกับแม่ของฉัน
ชีวิตของเขาอยู่ใต้การปกครองดูแลของเจ้าของที่ดิน
ตั้งแต่เกิดและยังจำความไม่ได้ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเขาก็ต้องทำงานในที่ดินของคนอื่น ที่หยิบยื่นที่อยู่ที่กินให้แล้ว และเมื่อเขาพอจะจำความได้ก็ต้องสืบทอดการทำงานหนักเพื่อผลประโยชน์ของท่านบารอนและบารอนเนสด้วยความภักดิ์ดีอย่างชนิดที่ ‘เลือกไม่ได้’

เมื่อพ่อของ ‘ผม’ ได้รับอิสระจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสวีเดนและทั้งยุโรป
ระบบศักดินาถูกเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย การถือครองที่ดินโดยคนๆ เดียวถูกเปลี่ยนมือ
แต่การจะเริ่มนับหนึ่งกับชีวิตที่ผ่านวัยกลางคนมาแล้วนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะกับคนไม่รู้หนังสือ

ชีวิตใหม่ของคนไม่รู้หนังสือ
มีอุปสรรคนั่งรอให้เขาและครอบครัวต้องผ่านด่านอีกมาก
หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เห็นภาพจริงในสังคมสวีเดนยุคนั้นว่าคนจน คนไม่รู้หนังสือ คนชายขอบ ชนชั้นแรงงาน หรือ คนชั้นล่างต้องโดนกระทำจากการที่อยากมีอิสระ จากการที่อยากมีที่ดินทำกินของตัวเองอย่างไรบ้าง

อีวาร์ ลู-ยูฮันซ์ซอน
นักเขียนชาวสวีเดนที่เป็นปากเป็นเสียงให้กับคนไร้โอกาสเหล่านั้น
เพราะเขาก็เติบโตมาจากครอบครัวที่ต้องทำงานแลกที่อยู่ที่กินจากเจ้าของที่ดินเช่นกัน
เขาทำงานหนัก ในขณะที่ได้เศษอาหารและกระท่อมหลังเล็กเป็นรางวัลจากเ้จ้าของที่ดิน
ความแร้นแค้นก่อเป็นความคับแค้น และทำให้เขาอยากเล่าความจริงออกสู่สังคมวงกว้าง และเขาก็ประสบความสำเร็จที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้คนในสังคมรับรู้จากตัวหนังสือของเขา

เราชอบอ่านหนังสือแนวสัจนิยมแบบนี้
แม้มันจะเจ็บปวด แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
และอาจจะทำให้คนอ่านได้เรียนรู้อะไรจากความจริงเหล่านั้นบ้าง

“พ่อเป็นคนไม่รู้หนังสือเพราะไม่เคยได้เรียน ดังนั้นเวลามีสิ่งใดเกี่ยวพันกับการเขียนจะถูกถือเป็นเรื่องใหญ่โตอยู่เสมอ สำหรับพ่อ ตัวหนังสือทุกชนิดมีอำนาจลึกลับ ที่ทำให้พ่อขึ้นต่อมันอย่างไม่มีเหตุผลทีเดียว”

แม่ของฉันต่างจากพ่อของผม
แม่ไม่เคยกลัวอะไรในการไม่รู้หนังสือ
แม่เป็นนักสู้ชนิดที่คนรู้หนังสืออย่างฉันยังทำไม่ได้

แม่เป็นตัวแทนของบ้านในการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ
แม่ออกหน้าเวลาเสมอในเวลาที่ต้องไปติดต่อกับราชการ หรือเอกชน
แม่ไม่เคยอายความไม่รู้หนังสือ แม่ไม่เคยกลัวคนที่รู้หนังสือ แม่พยายามใช้สิทธิ์ของแม่

ลายมือของแม่โย้เย้เวลาที่ต้องลงชื่อ
แม่หัดเขียนชื่อตัวเอง และหัดอ่านหนังสือเองง่ายๆ
น่าแปลกที่แม่เป็นคนสอนฉันเขียน ก.ไก่เมื่อตอนเด็กๆ ด้วย

ในหนังสือเล่มนี้นอกจากจะทำให้ฉันนึกถึงแม่ตลอดเวลาที่อ่านแล้ว
ยังทำให้นึกถึงครอบครัวของฉันในยุคที่ยังทำนา และยังนึกไปถึงการที่บ้านฉันถูกเอาเปรียบจากโรงสีบ้าง จากพ่อค้าคนกลาง หรือคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง โดยเฉพาะคนที่รวยกว่า ใหญ่โตกว่า มีหน้ามีตากว่า

การที่ระบบศักดินาถูกเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยไม่ว่าที่ใดในโลก
ฉันว่ามันแค่เปลี่ยนโฉมหน้าจากเจ้าของที่ดิน มาเป็นเจ้าของกิจการอื่นๆ เท่านั้นเอง

มันยังมีการกดขี่ ยังมีการเอารัดเอาเปรียบจากคนที่เหนือกว่าอยู่เสมอ
คนที่รู้หนังสือมากกว่า ใช้ความได้เปรียบในการฉกฉวยเอาประโยชน์จากคนที่ไม่ได้เรียน

ฉันไม่คิดว่ามันจะแตกต่างอะไรกันตรงไหน
โลกเราทุกวันนี้ยังอยู่ในยุคศักดินาที่ทุกคนพยายามแย่งชิงทรัพยากรกันอย่างเสรีและบ้าคลั่ง คนที่มีมากอยู่แล้วอยากได้มากเข้าไปอีกโดยที่ไม่พยายามแบ่งปันทรัพยากรนั้นให้กับคนที่ขาด

คนที่มีน้อยหรือไม่มีถูกผลักออกไปให้อยู่อีกโลกหนึ่ง
โลกที่ต้องใช้แรงงานมากแต่ได้ค่าตอบแทนน้อย หรือ โลกที่ต้องเช่าที่นาเพื่อทำกิน

ฉันเคยแอบสงสัยว่า,
คนที่ทำนาไม่เป็น ทำสวนไม่ได้ จะต้องมีที่มากมายไว้ทำไม
ในเมื่อมีคนมากมายที่พร้อมจะลงแรงกายแต่ขาดที่ดินทำกินเหล่านั้น

นี่เอง,
คือความเจ็บปวดสมจริง
ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยจากยุคแลนด์ลอร์ดในหนังสือเล่มนี้

….

พ่อของผมยังสู้ต่อไปด้วยความหวังเล็กๆ
แม่ของฉันก็ยังสู้ต่อไปด้วยการไม่หวังอะไรมาก
ชีวิตมันก็มีอยู่เท่านี้เอง, เราได้ทำในสิ่งที่เราเลือก แม้จะยาก แม้จะลำบากแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ใต้ความต้องการของใคร

นี่อาจจะเป็นความดีเพียงอย่างเดียวของประชาธิปไตย

ร่มสีขาว

ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกวัน และบางวันก็ตกเกือบตลอดเวลา
จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก, ไม่หรอก ไม่แปลกเลย
เพราะมันก็เข้าหน้าฝนแล้ว

อารมณ์ฝนตกแบบนี้ทำให้คิดถึง ‘ร่มสีขาว’ คันหนึ่งที่หายไป
ที่คิดถึงร่มสีขาวคันนั้นขึ้นมาเพราะในชีวิตของเรามีร่มไม่กี่คัน และยิ่งเป็นร่มที่เลือกเอง ซื้อเองก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่

ร่มสีขาวที่หายไป
เป็นร่มที่เราเห็นแล้วรักและิอยากได้ครั้งแรกที่เราหันไปเห็น
ทั้งๆ ที่มันเป็นร่มธรรมดา ขนาดไม่เล็ก ไม่ใหญ่ มีสีขาวที่เกือบโปร่งใส
แต่สายตาของเรามองว่ามันน่ารัก น่าใช้ น่าเป็นเจ้าของ ซึ่งเราก็ซื้อเลยทันทีอย่างไม่ได้คิดอะไร

แล้วเราก็หยิบมามันใช้เรื่อยๆ ในวันที่ฝนเท
ใช้อย่างค่อนข้างทะนุถนอม ใช้เสร็จก็เอามาผึ่งลมให้แห้ง
แห้งแล้วก็ม้วนเก็บอย่างสวยงาม และตั้งวางไว้ในที่หยิบใช้ง่าย

แต่แล้วมันก็หายไป
หายไปด้วยมือคนที่บอกว่ารักมัน
หายไปเมื่อไหร่ หายไปที่ไหนฉันเองก็จำไม่ได้
แค่รู้ว่าเมื่อฤดูฝนนี้มาเยือน ฉันมองหามันเพื่อใช้สอย, มันก็ไม่อยู่ตรงที่เดิม

ฉันได้แต่นึกถึงมัน
แล้วก็คิดว่าถ้าคนที่บังเอิญเจอ หรือเก็บมันได้เอาไปใช้ต่ออย่างน้อยก็คงดี

ฉันแค่อยากบอกมันว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งมัน
ถ้าเลือกได้, ฉันอยากถือจับมันในวันที่ฝนตกทุกครั้งเหมือนที่เป็นมา

ร่มสีขาวคันที่หายไป,
คงไม่ต่างอะไรกับใครหลายๆ คนที่เคยอยู่ในช่วงชีวิตต่างๆ ของเราแล้วหายไป
ฉันจำไม่ได้ทั้งหมดทุกคนว่าเหตุผลที่เราห่างๆ หายๆ จากชีวิตกันและกันนั้นมันเพราะอะไรบ้าง

ไม่รู้ว่าทิ้งระยะกันเมื่อไหร่ ตอนไหน
และไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฉันเอง, ด้วยมือของฉัน
หรือมันก็แค่เป็นไปตามกฎของการเปลี่ยนแปลง ฉันไม่แน่ใจจริงๆ

แต่ในบางวัน,
ฉันคิดถึงคนบางคน และใครหลายๆ คน

ตัวหนังสือเดินทาง

เมื่อคืนได้อ่านตัวหนังสือของเพื่อนสาวคนหนึ่งทางบล็อกของหล่อน
เนื้อหาไม่ยาวแต่กินความหมาย

“คนที่มาเจอกันได้ มาผูกสัมพันธ์กันได้
จากตัวหนังสือ จากจดหมาย จากหนังสือ
และจากการเดินทาง

บางคนก็จากไปแบบเงียบๆ
บางคนก็ยังอยู่ด้วยกัน แบบเงียบๆ

เงียบๆ แต่ทว่าเรื่อยๆ”

คล้ายจะเป็นเรื่องแปลก แต่ก็ไม่ถึงกับประหลาด
ที่แน่ๆ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ผ่านตัวหนังสือ

ตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัวที่เราเลือกใช้ ถูกคิดมาแล้วอย่างดี
การที่ใครบางคนบังเอิญได้มาสัมผัสตัวหนังสือของเราแล้วชื่นชอบ หรือ รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันจากคำที่เลือกเฟ้น จากตัวหนังสือที่เลือกใช้ มันคงเรียกได้ว่ามหัศจรรย์มากกว่าแปลก

ตัวหนังสือที่เราส่งผ่านกัน, ระหว่างเพื่อนใหม่
เป็นเหมือนบทสนทนาที่แทนตัวตนของแต่ละฝ่าย
ที่มหัศจรรย์มากกว่า คือ แม้กับบางคนจะรู้จักตัวหนังสือกันมานาน แต่ไม่เคยพูดจา ไม่เคยพบหน้า ทำไมเราจึงรู้สึกผูกพันธ์กับคนๆ นั้นได้มากมายและยาวนานนักก็ไม่รู้

เหมือนเป็นมิตรทางตัวหนังสือ,
และเพราะรู้จักกันผ่านทางตัวหนังสือ
เราจึงสนิทใจมากกว่าในการสื่อสารผ่านตัวหนังสือระหว่างกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ

มีคนๆ หนึ่ง
เรากับเธอคนนั้นเขียนโปสการ์ดคุยกันมานานร่วมสิบปีแล้ว
เคยส่งเสียงตามสายครั้งสองครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเราไม่ได้มาจากตรงนั้น
ปัจจุบันก็ยังสื่อสารสัมพันธ์ผ่านตัวหนังสือบนโปสการ์ดเช่นที่เคยเป็นมาตลอด แม้จะไม่ได้ถี่ ไม่ได้บ่อย แต่ก็ไม่ได้ขาด

นี่เป็นแค่ตัวอย่างของเส้นทางโรแมนติคที่มีอยู่จริงในโลกตัวหนังสือ
บางคนอาจมองว่าความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ยั่งยืน
แต่เราไม่รู้ว่าความยั่งยืนคืออะไร

รู้แ่ค่ว่าเราเขียนแล้วมีคนอ่าน
และเราได้อ่านสิ่งที่มีคนเขียน
ก็คงจบกระบวนการสื่อสารของตัวหนังสือแล้วมั้ง

Size doesn’t matter-ขนาดของเกาะ

เคยเขียนถึงมาเก๊าและฮ่องกงเอาไว้นานแล้วหลังจากที่ไปเที่ยวกลับมา
แต่ยังไม่ได้เอามาลงไว้ที่บล็อกสักที
เขียนคนเดียว อ่านคนเดียวก็ดูจะไม่เกิดประโยชน์เท่าไหร่ เลยเอาลงมาซะดีกว่า

ด้วยความที่เขียนเอาไว้ค่อนข้างยาวเลยจะแบ่งเป็น 2 ตอน
จะได้อ่านกันง่่าย สบายตาหน่อย ซึ่งตอนแรกนี้จะเล่าเรื่องของมาเก๊าก่อน

เชิญๆ

Macau&Hong kong-Size doesn’t matter
ขนาดของเกาะ

“อะไรนะพี่ จะไปเที่ยวฮ่องกงตั้งเจ็ดแปดวันเลยเหรอ ไปทำอะไรน่ะ ยิ่งมาเก๊านะเล็กจะตาย วันเดียวก็เที่ยวหมดเกาะแล้วพี่” ฉันหัวเราะแหะๆ แทนการตอบคำถามของน้องคนหนึ่งซึ่งคงเคยไปเยือนฮ่องกง-มาเก๊ามาแล้วในแบบของเขา ฉันไม่ได้ดูถูกเหรือเยาะยิ้มในคำเตือนนั้น และโดยเฉพาะไม่หวั่น อาจเป็นเพราะเชื่อว่า ‘การท่องเที่ยว’ หรือ ‘การเดินทาง’ ในแบบของแต่ละคนล้วนต่างกันออกไป คงคล้ายๆ กับอะไรที่ว่า “You are what you see”

สำหรับฉันไม่ว่าฮ่องกงจะไม่มีอะไรทำ หรือมาเก๊าจะเล็กแสนเล็กแค่ไหน…ฉันต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง

มาเก๊า
มาเก๊าในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ต้อนรับฉันกับเพื่อนด้วยลมหนาวๆ
และฉันก็ตอบรับการทักทายเย็นๆ นั้นให้อุ่นขึ้นด้วยเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอที่เตรียมพร้อมมาแล้ว
เมื่อเดินทางเข้าที่พักและออกมาเดินเล่นตามตรอกซอกซอยแล้วก็ได้แต่หันหน้ามองเพื่อนว่า “เมืองอะไรทำไมเงียบอย่างนี้” และพอได้สอดส่องโน่นนี่ตามประสาคนช่างอยากรู้ ก็เลยพอจะอนุมานได้ว่า คนที่นี่ถ้าไม่ออกจากบ้านไปเก็บตัวในบ่อนการพนัน (เอ่อ เรียกคาสิโนก็ได้จะได้ดูหรูหรากว่ากันหน่อย) ก็จะออกจากบ้านมาเพื่อเบียดเสียดกันเดินเข้าเดินออกร้านแบรนด์เนมทั้งหลายแหล่ เรียกง่ายๆ ว่าถ้าไม่ไปเสียเงินให้เจ้ามือคาสิโน ก็เอาเงินไปหย่อนไว้กับการช้อปปิ้งนั่นเอง

แต่จะเหมารวมเอาคนทั้งเกาะมาเก๊าก็ดูจะใจแคบไปหน่อย เพียงแต่ด้วยบรรยากาศอึมครึมๆ ของฤดูหนาวจะให้ผู้คนจับเจ่านั่งเฝ้าจอทีวีอยู่ที่บ้านก็กะไรอยู่ การออกมาเจอเพื่อนๆ วัยเดียวกันในคาสิโน หรือสังสรรค์กันในย่านช้อปปิ้งก็คงสร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับคนมาเก๊าและนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย

หลังจากที่เดินสำรวจตรวจตราไปหลายมุมหลายซอกของมาเก๊าอย่างคร่าวๆ แล้ว วันรุ่งขึ้นฉันกับเพื่อนก็ออกปฏิบัติการตระเวณเที่ยว โดยมีหนังสือนำเที่ยวของการท่องเที่ยวมาเก๊านำทาง และมีบรรดาพลเมืองเป็นตัวช่วยเมื่อเวลาที่หมดหนทาง

เที่ยวไปเที่ยวมาก็เป็นอันว่าจบหนึ่งวันที่มาเก๊า เมืองเล็กๆ ที่อบอวลบรรยากาศของยุโรปด้วยการเที่ยวเกือบครบทุกที่ที่ควรจะต้องไปดู ไปรู้ ไปเห็น ไปสัมผัส ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นวัดจีนเก่าแก่ หรือโบสถ์คริสต์ที่มีมาช้านานตั้งแต่สมัยที่มาเก๊ายังอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกส และสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์

การเที่ยวที่มาเก๊าจึงเหมือนการเดินย้อนเวลากลับไปหาอดีตที่แม้ว่าบางครั้งอาจจะเหลือเพียงร่องรอยหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์ อย่างเช่น ซากประตูโบสถ์เซ็นต์ ปอล (Ruins of St.Paul’s), ส่วนของกำแพงเมืองโบราณ (Section of the Old City Wall) หรือ ป้อมปราการเม้าท์ ฟอร์เทรส (Mount Fortress) เป็นต้น แต่ความไม่สมบูรณ์เหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถจินตนาการถึงความรุ่งเรืองและความยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ไม่ใช่แค่แหล่งท่องเที่ยวเก่าๆ ที่มีคุณค่าทางใจต่อชาวมาเก๊าเท่านั้น นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็ยังเห็นความทันสมัยได้จากสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ อย่างเช่น มาเก๊าทาวเวอร์ (Macau Tower) ซึ่งปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในลิสต์ A Must ของนักท่องเที่ยว ไม่แพ้ซากโบสถ์เซ็นต์ปอลเลยทีเดียว

ส่วนที่ฉันบอกว่า เที่ยวมาเก๊า ‘เกือบ’ จะครบนั้นก็แปลว่าฉันไม่ได้ไปทุกที่ และที่ไปไม่ได้ทุกที่ก็เพราะเวลามีจำกัด และที่เวลามีจำกัดก็เพราะฉันประเมิน ‘ขนาด’ ของมาเก๊าน้อยไปหน่อย

ถามว่ามาเก๊าเล็กมั้ย ในสายตาฉันเก็ว่าเล็กนะ แต่ในความเล็กของขนาดพื้นที่นั้นได้ซุกซ่อนรายละเอียดเอาไว้อย่างมากมายจนกลายเป็นความยิ่งใหญ่อย่างคาดไม่ถึง อย่างเช่น

ป้ายบอกทาง ที่ตั้งใจทำเอาไว้ซะดิบดี เหมาะมากๆ กับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ที่ไม่ถนัดอ่านแผนที่นัก แถมยังปักป้ายให้เห็นกันทุกหัวมุมถนน ทุกแยก เอาเป็นว่าเดินเที่ยวได้อย่างสบายใจไม่หลงทางกันง่ายๆ

ป้ายรถเมล์ (มหัศจรรย์) สงสัยคนมาเก๊าคงขยันมากแน่ๆ หรือไม่ก็คงเป็นคนช่างเอาใจนักท่องเที่ยว หรือไม่ผู้ปกครองก็ใส่ใจในพลเมืองของเขาอย่างมาก เพราะป้ายรถเมล์ที่นั่นนอกจากจะบอกสายรถเมล์ที่จะผ่านถนนนั้นๆ แล้ว ยังใจดีเผื่อแผ่ข้อมูลที่สำคัญเอาไว้ด้วย ทั้งสถานที่สำคัญที่รถเมล์สายนั้นแล่นผ่าน, ราคาค่าโดยสารและเวลาที่รถเมล์จะมาถึง

ตู้ขายแสตมป์อัตโนมัติ นอกจากจะมีตู้แดงๆ ใบใหญ่ๆ เอาไว้ให้หย่อนพัสดุภัณฑ์ต่างๆ อยู่ทั่วเมือง โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้ว บางสถานที่จะมีตู้สำหรับขายแสตมป์อัตโนมัติอีกด้วย ส่วนว่าใครจะต้องติดแสตมป์ราคาเท่าไหร่นั้นที่ตู้ก็มีบอกรายละเอียดไว้เสร็จสรรพ เรียกว่าสะดวกใจนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ทางเดินเท้า มาเก๊าเป็นเมืองเล็กๆ ที่เหมาะแก่การเดินเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อทางเดินเท้ามีขนาดที่ไม่เล็กไม่แคบเมื่อเทียบกับความกว้างของถนนที่ให้รถราวิ่ง หรือถ้าทางแคบมากจริงๆ ก็จะทำที่กั้นเอาไว้อย่างชัดเจนแลดูปลอดภัยในชีวิต แถมทำไว้ซะดิบดีไม่ต้องกลัวเดินไปตกท่อไป หรือฝนตกก็ไม่ต้องระแวงระวังว่ารถที่ขับจะทำน้ำกระเซ็นสาดใส่ ว่าไปแล้วมันแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจคนเดินถนน ไม่เหมือนบางประเทศที่นอกจากจะตกท่อกันซ้ำซาก ทางเดินแคบแล้ว หน้าฝนทีไรคนเดินถนนแทบไม่มีสิทธิ์ใช้ชีวิตทุกที

นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางเสี้ยวของเกาะมาเก๊าที่ฉันประทับใจจนอยากจะเล่าต่อและบอกอีกเรื่อยๆ และถ้ามีโอกาสฉันก็อยากไปเยือนมาเก๊าอีก ครั้งนี้แม้จะนึกเสียดาย แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ลองเที่ยวแบบของตัวเองบ้าง เลือกที่จะไม่เดินตามหนังสือ หรือคำแนะนำของใครจนหมดหน้าตัก

ถ้าใครถามว่ามาเก๊าในสายตาฉันเป็นอย่างไร
ฉันเองก็คงจะตอบลำบากเพราะมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แค่เพียงสองวันสองคืนเท่านั้น
แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามเป็นว่าฉันไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ไปตรงนั้นตรงนี้มาหรือเปล่า นั่นก็อาจจะเป็นคำตอบที่ตอบได้ง่ายดายโดยแทบไม่ต้องหยุดคิด

และถ้ามีคนถามฉันว่าชอบอะไรมากที่สุดในสองวันสองคืนที่มาเก๊า ฉันก็คงยิ้มๆ และตอบว่า
“ชอบความเล็กแต่ไม่น้อย”

ถ้าคุณอยากรู้ว่ามาเก๊าตัวจริง เสียงจริงเป็นอย่างไร สงสัยต้องรีบจองตั๋วและเก็บกระเป๋าแล้วล่ะมั้ง จะได้รู้กันว่าเสียทีว่านอกจากการพนันชนิดต่างๆ ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้าหาแล้ว เกาะเล็กๆ อย่างมาเก๊ายังมีอะไรให้เราหลงเสน่ห์ได้อีกบ้าง

เขียนถึงคนบนฟ้า

เธอ,

ไม่ได้เจอกันมาเป็นปีแล้วซินะ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันก็หาทางสื่อสารกับเธอในหลายๆ ทาง แม้รู้ดีว่ามันคงเป็นการสื่อสารทางเดียวก็ตาม แต่ฉันเชื่อไอ้ไข่ย้อยนะ มันเคยบอกเราในทำนองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับจดหมาย คือ การเขียน คนอ่านจะคิด จะรู้สึกยังไง ความรู้สึกทุกอย่างมันจบไปแล้วตอนที่เราลงมือเขียน และก็นั่นแหล่ะ เหมือนกับฉันในหลายๆ ครั้งที่พยายามจะคุยกับเธอ

ฉันเขียนบันทึกถึงเธอ
ฉันคุยกับเธอผ่านสายลมอ่อนๆ ในวันที่เหงา
ฉันนึกถึงเธอ

แม้จะผ่านมาตั้งเป็นปี
แต่ฉันก็ยังอ่อนแอ ขี้แพ้ และ เหงามากเหมือนเดิม

ในบางวันที่ฉันแย่หนัก
นอกจากคนเป็นๆ บางคนที่ฉันจับยึดไว้เป็นหลักอย่างเห็นแก่ตัวแล้ว คนที่หายร่างไปอย่างเธอก็ไม่พ้นถูกฉันครวญถึง และถูกดึงมารับฟังเรื่องเศร้าอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน ถ้าหากเป็นพืช ฉันคงเป็นไม้เลื้อย

วันนี้ฉันนั่งดูซีรีย์ฝรั่งเรื่องหนึ่ง
มีตาหมอเซลฟ์จัดคนหนึ่งอยู่ในสถานการณ์ระหว่าง การเฉียดตายของคนไข้สาว และการสูญเสียคนรักของเพื่อนหมอ
ในตอนจบ หมอนี่ก็มีคำพูดที่แลดูดีและน่าขบคิดต่อประมาณว่า

“การใกล้ตายไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไร แต่การตายต่างหากที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง”

ฉันไม่รู้,
เพราะยังไม่เคยเจอเรื่องเฉียดตายกับตัวเอง แม้มันจะเคยเกิดขึ้นกับเพื่อนๆ บางคน แต่ฉันก็ไม่อาจรับรู้ความรู้สึกนั้น จนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนกับตัวฉันได้ หรือ โดยเฉพาะความตาย ไม่ได้จะตลก แต่ฉันยังไม่เคยตาย แต่คิดว่าถ้าคนที่เรารัก หรือคนใกล้ตัวมากๆ มาจากไปมันอาจจะเปลี่ยนชีวิตฉันไปเลยก็ได้ ใครจะไปรู้

แต่อย่างน้อยที่ฉันรู้ก็คือ
แม้เราจะไม่ได้รักกัน ไม่ได้รู้จักกันดี ไม่ได้สนิทกันมาก
แต่เธอก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉัน ที่อยู่ดีๆ ก็ตัดขาดการสื่อสารไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

เธอย้ำให้ฉันสำนึกว่าชีวิตมันสั้น ง่าย และเปราะบางอย่างเหลือเชื่อ
ฉันเชื่ออย่างนั้นนะ,
เธอ