ไม่ปะปนกับเรื่องส่วนตัว

     ลักษณะส่วนตัวของเราอย่างหนึ่ง คือ จะไม่อ่านงานเขียนของคนที่เรา (รู้สึก) ไม่ชอบ

     จริงๆ มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดาที่เข้าใจได้ ก็ใครจะไปอยากเป็นส่วนหนึ่งของคนที่เราไม่ชอบหน้ากันล่ะ…จริงมั้ย?

     นักเขียนบางคนที่เราไม่ชอบ หรือ เกิดความรู้สึกไม่ค่อยประทับใจเกิดขึ้นเพราะได้อ่านบทสัมภาษณ์, ได้ฟังเรื่องเล่า-เรื่องราวจากคนใกล้ชิด หรือจากคนที่บอกต่อๆ กันมา หรือ จากการประสบพบเห็นด้วยตนเอง เป็นต้น ซึ่งโดยมากก็เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นนิสัย เป็นกมลสันดานของนักเขียนคนนั้นๆ ทั้งที่บางคนเรายังไม่เคยอ่าน ไม่เคยแม้แต่จะสัมผัส หรือย่างกรายไปข้องแวะกับผลงานของเขาเหล่านั้นแม้สักนิด

     คนรู้จักบางคนอาจเคยถามไถ่ อาจเคยแนะนำถึงหนังสือเล่มนั้นเรื่องนี้ เราก็เอาแต่ส่ายหน้าว่าไม่อ่าน ไม่มีวันเพราะฉันไม่ชอบ ซึ่งย้อนกลับมามองถือเป็นความโง่เงาโฉดเขลาเบาปัญญาประการหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายความอวดดี…ก็คนมันไม่ชอบจะให้ทำยังไงได้

     ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา อยู่ๆ ก็หยิบเอางานเขียนของคนที่เราเคยหมั่นไส้มาอ่าน อ่านแล้วก็ดันชอบ ไปหาเล่มอื่นๆ มาอ่านอีกเรื่อยๆ และคาดว่าจะกวาดให้หมด…เออหนอ ถ้าตัดความจริงที่ว่าหมอนี่แม่งไม่ได้เหยียบส้นเท้าเราสักนิด แค่กวนๆ ไปหน่อย เท่ๆ ไปนิด ล้ำๆ ไปบ้าง เราก็ยอมรับอย่างไม่อายปาก อายใจ อายฟ้าดินเลยว่า เราชอบตัวหนังสือของเขา

     และถ้าพูดในทางตรงกันข้าม,

     นักเขียนหลายคนที่เราชื่นชอบงานมาก่อน และตอนหลังบังเอิญได้รูสึก ได้พูดคุย ได้มองเห็นตัวตนด้านลึก ด้านจริงของเขาเหล่านั้น กลับกลายเป็นว่าเราไม่ค่อยชอบงานเขาเสียแล้ว ไม่อยากอ่าน ไม่อยากรู้จัก ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป

     สรุปแล้ว…เราอ่านหนังสือบางเล่มเพราะอะไรกันแน่?

     ชอบเพราะตัวหนังสือจริงๆ แบบไม่ปะปนกับเรื่องส่วนตัว

     ชอบเพราะนิสัยส่วนตัวเลยลามไปชอบตัวหนังสือซะด้วย

     …

    แต่ไม่ว่าเราจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ หรือ ไม่ได้ที่เรารู้อยู่อย่างก็คือ เราจะตามงานเก่าๆ ของคนเคยเหม็นหน้ามาอ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้…แต่ยังไงก็ขอยกไว้สักคนก็แล้วกัน ใครคนนั้นคือ “เพื่อน” หรือ “คนที่เราก็รูว่าใคร” หรือ “คนที่เราไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อ” ไม่ใช่ว่าไม่อยากอุดหนุนหนังสือเพราะเกรงว่าจะไปสมทบกองเงินหลายพันล้านของเขาและเหล่าตระกูลหรอกนะ แต่กลัวว่าอ่านแล้วจะเคลิ้มใจไปจนถึง “ราก” จนหยัดยืนฟื้นสติด้วยตัวเองไม่ได้

     โถ…ใครจะไปรู้เขาอาจจะมีจิตวิทยาขั้นสูงกว่า “ดาราราย” หลายเท่าก็เป็นได้

       

ภาระกิจจบ

     หายไปจากสังคมบล็อก เพราะมีภาระกิจเร่งด่วนที่ต้องทำ!

     เรื่องงานประจำนั่นก็ด้วย มีหลายอย่างให้เริ่มต้นนับหนึ่งและบางอย่างที่นับเลขไปเยอะแล้วก็ยังต้องสานต่อ แต่ที่มันดึงวิญญาณเราไปมากกว่านั้น คือ ภาระกิจจบ!

     ช่วงที่ผ่านมารีบตื่นมาทำงานเพื่อรีบกลับบ้านเพื่อรีบไปอ่านหนังสือเล่มจบ

     Mission Done!

     แม้จะขุ่นเคืองใจกับ Harry Potter 2 เล่มสุดท้าย

     แม้จะยังเกาหัวยิกๆ พร้อมหน้ามึนๆ ใน 20th (21st) Century Boy ภาคจบ

     แต่ภาระเริ่มทยอยสะสางแล้ว…แต่อย่าเพิ่ง เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วถอยหนังสือหมาดๆ มา 3 เล่ม แถมยังมี OOM และ Bioscope ที่ยังอ่านไม่จบเล่มให้ต้องดำเนินการต่ออีก

     การมีอะไรให้เราติด ให้เราหมกมุ่นนี่มันดีนะ 

สัมผัส

     พักนี้ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเลย เหมือนๆ จะขี้เกียจยังไงก็ไม่รู้ (บางคนที่กำลังอ่านคิดอยู่ว่าอย่างอื่นก็ขี้เกียจด้วยนะ เช่น อัพบล็อก ซึ่งก็ไม่แก้ตัว) ไม่ได้ไปร้านหนังสือ หรือหนังสือที่ซื้อมานานแล้วยังไม่ยอมหยิบมาอ่านก็นอนพิงกำแพงห้องอย่างนั้นจนฝุ่นจับไปหลายเล่ม

     จริงๆ ก็อยากอ่าน แต่ไม่รู้จะอ่านอะไร

     ไม่รู้ว่าชาวบ้านเป็นเหมือนกันหรือเปล่านะอาการแบบนี้ คือ หนังสือบางเรื่อง บางเล่มต้องมีจังหวะของมัน จังหวะที่ว่ามันต้องสัมพันธ์กับชีวิตของเรา

     ปัญหาตอนนี้ของเรา คือ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหน จะอกหักก็ไม่ใช่, จะสมหวังก็ไม่เชิง, จะเหนื่อยก็ประมาณนึง ฯลฯ ไม่รู้จริงๆ ว่าเราอยากทำอะไร หรือ ใจเราคิดอะไรอยู่

     คำตอบของความคาใจมันคลายได้เมื่อคืน…

     ต่อไปจะเริ่มเก็บงานของสุนทรภู่มาอ่านให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยู่ๆ ก็คิดว่าเรามัวแต่มุ่งไปหาหนังสือของนักเขียนต่างประเทศซะเป็นส่วนใหญ่ เลือกวรรณกรรมที่ ‘ต้อง’ อ่าน หรือเล่มที่คนโน้นคนนี้แนะนำ โดยลืมไปว่าของดีที่อยู่ใกล้ตัวเราอ่านไปไม่มากเลย

     อาจเป็นไปได้ว่าเราคิดถึง ‘สัมผัส’

     สัมผัสนอก

     สัมผัสใน

     ถ้าใครจำได้ ตอนที่อาจารย์ให้แต่งกลอนก็มักจะย้ำจุดสำคัญนี้เสมอ

     ใช่, สัมผัสนอกอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องสัมผัสใน สัมผัสด้วยใจมันถึงจะดี

    

น้ำเน่าเคล้าวาระรัก

I never understood before
I never knew what love was for
My heart was broke, my head was sore
What a feeling

Tied up in ancient history
I didnt believe in destiny
I look up you’re standing next to me
What a feeling

What a feeling in my soul
Love burns brighter than sunshine
Brighter than sunshine
Let the rain fall, i don’t care
I’m yours and suddenly you’re mine
Suddenly you’re mine
And it’s brighter than sunshine

I never saw it happening
I’d given up and given in
I just couldn’t take the hurt again
What a feeling

I didn’t have the strength to fight
Suddenly you seemed so right
Me and you
What a feeling

What a feeling in my soul
Love burns brighter than sunshine
It’s brighter than sunshine
Let the rain fall, I don’t care
I’m yours and suddenly you’re mine
Suddenly you’re mine

It’s brighter than the sun
It’s brighter than the sun
It’s brighter than the sun, sun, shine.

Love will remain a mystery
But give me your hand and you will see
Your heart is keeping time with me

What a feeling in my soul
Love burns brighter than sunshine
It’s brighter than sunshine
Let the rain fall, I don’t care
I’m yours and suddenly you’re mine
Suddenly you’re mine

I got a feeling in my soul

Brighter than sunshine/Aqualung

Message to Le Little Prince

สวัสดีเจ้าชายน้อย…

.

.

เราได้รับหนังสือแล้วนะ

คาดว่าจะอ่านได้ในวันข้างหน้า (ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่)

ขอบคุณสำหรับการระลึกถึง และ สิ่งดีๆ ที่นำมาเสนอ

.

.

.

จากสุนัขจิ้งจอกที่หวาดกลัวสายฝน

อะไรก็เป็นซากุระได้ทั้งนั้น

     ตั้งชื่อกระทู้แบบนี้ไม่ได้มีเจตนาต่อต้าน หรือ จงเกลียดจงชังอะไรกับดอกซากุระหรอกนะท่านผู้อ่านทั้งหลาย ตรงกันข้าม, รู้สึกหลงใหลจนอยากจะไปยืนแหงนหน้าชื่นชมมันสักครั้ง สองครั้งในชีวิต อยากไปเห็นกับตาถึงพลังความงดงามที่ใครต่อใครก็ร่ำลือ

     นอกจากจะชื่นชอบดอกไม้ที่ชื่อว่า ‘ซากุระ’ อย่างถอนใจไม่ขึ้นทั้งๆ ที่เคยเห็นแค่ภาพถ่ายแล้ว ต้องบอกตรงๆ ว่าเราชื่นชอบคนญี่ปุ่นค่อนข้างมากในแง่ที่ว่าเขาให้คุณค่ากับอะไรเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะอะไรๆ ที่มาจากธรรมชาติและรากเหง้าของตัวเอง

     ดอกซากุระอาจจะไม่โด่งดัง หรือ อาจจะไม่เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลกเลยถ้าผู้คนในประเทศเค้าไม่ให้ความสำคัญกับมันก่อน แต่เพราะคนญี่ปุ่นรักมัน หลงใหลมัน ให้คุณค่า และให้ใจกับมัน ดอกไม้กลีบบางๆ เหล่านั้นจึงมีความสำคัญขึ้นมา

     พลังใจบวกเข้ากับพลังของธรรมชาติ กลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าเราจะจินตนาการ

     เมื่อเห็นดอกซากุระโด่งดังไปแบบนั้นแล้วก็อดนึกถึงดอกไม้ใบหญ้าในบ้านเราเองไม่ได้ ในฐานะที่เราชอบมองต้นมงต้นไม้ ดอกมงดอกไม้อยู่เป็นกิจนิสัย เลยอยากจะบอกว่าดอกไม้ทุกดอกบนโลกใบนี้สวยสดงดงามเหมือนกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นมันหรือเปล่า ถ้าไม่เชื่อช่วงนี้ก็ลองมองสองข้างทาง แล้วจะเห็นว่าเหลืองอินเดีย, ชมพูพันธุ์ทิพย์ และอีกมากมาย ทยอยบาน ทยอยร่วงจากต้นแล้ว…

     งดงามจนบรรยายไม่ถูกเลยหล่ะ