เมื่อวันพุธที่ผ่านมาไปดู ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’
ประทับใจในหลายๆ ส่วนของหนัง แต่สิ่งที่เป็นที่สุดเห็นจะเป็นบทประพันธ์ดั้งเดิม รู้สึกว่ามีความคมคาย และมีความหมายหลายๆ อย่างซ่อนอยู่ พร้อมให้เราตีความ
สำหรับหนังที่ทำใหม่โดยหม่อมน้อยครั้งนี้ เราชอบฉากที่คุณอาของส่างหม่อง หยิบปรัชญาความรักของคาริล ยิบรานจาก The Prophet มาตบหน้าหลานชายสุดที่รักที่บังอาจมีสัมพันธ์กับเมียสุดที่รักของตัวเอง
มันเป็นฉากสั้นๆ ที่ตอบความหมายของความรักได้น่าสนใจมากๆ
เรายังไม่เคยอ่าน The Prophet อย่างจริงจังตั้งแต่ต้นจนจบทั้งต้นฉบับและฉบับแปล แต่เมื่อพะโป้ได้ยกข้อความจากหนังสือขึ้นมา เรากลับคุ้นเรื่องของ ‘เสาวิหาร’ มากๆ คิดว่าคงเคยอ่านหนังสือเล่มไหน ของใครสักคน แล้วนักเขียนท่านั้นคงจะยกเอามาจาก The Prophet นั่นเอง
มุมมองความรักของยิบรานในหนังสือเล่มนี้ เราคิดว่าเน้นเรื่องช่องว่างและอิสระในความรัก
ฟังแล้วทำให้เรานึกถึงเพลง ‘ที่ว่าง’ ของวงพอสขึ้นมา
รับรู้ทั้งกลอน และเนื้อหาของเพลงแล้วทำให้อดคิดถึงตัวเองขึ้นมา เรามักไม่เว้นช่องว่าง ช่องไฟให้กับความสัมพันธ์ คิดว่ารักแล้วต้องอยู่ใกล้ รักแล้วต้องตัวติดกัน รักแล้วต้องแยกกันไม่ออก รักแล้วเธอต้องเป็นของฉัน
มันเป็นความรักที่ดูอึดอัด กักขัง ไม่สร้างสรรค์ และเหนื่อย
ถ้าทำได้ เราก็อยากให้ใจเราเป็นเหมือนเสาวิหาร ที่คอยค้ำวิหารให้อยุ่เนิ่นนาน โดยที่เสาแต่ละต้นไม่ต้องตั้งวางติดกัน แต่ละต้นมีระยะหว่างที่เหมาะสม ที่จะสร้างสมดุลย์ให้เกิดขึ้น นอกจากจะดูเป็นระเบียบ สวยงามแล้ว ยังก่อประโยชน์
จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน
จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน
จงร้องและเริงรำด้วยกันและจงมีความบันเทิง
แต่ขอให้แต่ละคนได้มีโอกาสอยู่โดดเดี่ยว
ดังเช่นสายพิณนั้นต่างอยู่โดดเดี่ยว
แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน
…
จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้นที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่ว่าอย่าใกล้กันนัก
เพราะว่าเสาของวิหารนั้นก็ยืนอยู่ห่างกัน
และต้นโพธิ์ ต้นไทร ก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้