ก่อนปีใหม่

วันนี้เป็นวันที่ดี,

31 ธันวาคม 2552

ทั้งๆ ที่เป็นแค่หนึ่งวันธรรมดาที่เราตื่นสายและไม่ได้มีเรื่องดีๆ หรือมีอะไรพิเศษเกิดขึ้นเลย

แต่เราก็ยังรู้สึกว่าวันนี้เป็นดีๆ ที่ชีวิตควรจดจำและเราควรบันทึกมันเอาไว้

แม้ว่าท้องฟ้าจะครึ้มด้วยกลุ่มเมฆสีเทา และมีสายฝนโปรปรายในฤดูที่่มันควรจะเย็นหนาว

เหล่านั้นก็เถอะ,

ยังไงวันนี้ก็เป็นวันที่ดี…เรายินดีที่จะเรียกมันอย่างนั้น

ปีนี้ที่ผ่านมา,

ก็คล้ายกับหลายๆ ปีที่ผ่านหน้าเราไปแล้ว

คือ มีทั้งเรื่องดี เรื่องทุกข์ เรื่องสุข เรื่องเศร้า เรื่องน่าจำ เรื่องอยากลืม

แล้วก็เดาเอาว่าปีใหม่ที่กำลังจะเข้ามาแทนที่ก็คงไม่ต่างไปจากนี้เท่าไหร่นัก

ดังนั้น,

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดนะ

ไม่ว่าจะอย่างไรชีวิตเราของก็ต้องดำเนินต่อไป

วันนี้

ขอให้คนที่ได้ผ่านเข้ามาอ่าน

ได้ใช้ชีวิตเต็มที่อย่างที่ได้ตั้งใจและอยากทำ

ชีวิตมันสั้นนักสั้นหนา เราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ถ้าอยากทำแล้วไม่เดือดร้อนใคร ไม่เดือดร้อนใจก็จงตัดสินใจ

ขอให้ท้องฟ้าของปีเสือผ่องใสทักทายเราทุกคนอย่างเต็มที่เสียที

.

.

.

สวัสดีก่อนปีใหม่ค่ะ

หนึ่งวันหนึ่ง

จ่อมอยู่คนเดียวในห้อง 502 มาหลายวันติดกัน

ไม่อยากให้จิตใจตัวเองเฉาเหี่ยวคารัง

เมื่อวานเลยนั่งรถเมล์ชิลๆ ที่ติดตายอยู่ที่ประตูน้ำเกือบสองชั่วโมงไปลงผ่านฟ้า

ทั้งที่ถ้าจะนั่งเรือไปเลยก็ได้…แต่ไม่อยากรีบขนาดนั้น

เวลาของเราไม่ได้เป็นเงินเป็นทองอีกต่อไปแล้

เดินเรื่อยๆ เอื่อยๆ ขึ้นบันไดไป

แหงนหน้ามองดูท้องฟ้า ก้มหน้ามองดูสิ่งปลูกสร้าง

และใจลอยคิดถึงใครต่อใครหลายคน…มันอาจจะดีกว่าถ้าเราไม่ได้มาคนเดีย

แต่ใช้ว่าการมาลำพังจะไม่มีอะไรดีเลย,

เพราะอย่างน้อยการที่ได้มาก็ทำให้เราได้รู้ได้เห็นว่าเรามีผู้คนที่เราสามารถระลึกนึกถึงมากน้อยเพียงใด

ใช้เวลาไม่มาก

ใช้เงินไม่เยอะ

แค่นี้เราก็ได้เห็นอะไรต่อมิอะไร ได้ทำอะไรต่อมิอะไรเล็กๆ น้อยๆ แล้ว

ลงจากภูเขาทอง,

เดินเตร่มารอรถเมล์ที่ราชดำเนิน แล้วก็เลือกสาย 47 ไปลงสุดสายที่ท่าเตียน

จากนั้นก็เดินเร็วๆ เพราะท้องร้อง ตั้งใจจะหาของอร่อยๆ กินที่ท่าพระจันทร์

แล้วเท้าก็ไปหยุดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ สั่งมันทั้งสด ทั้งเปื่อย กลั้วคอด้วยน้ำมะตูมเย็นๆ

ท้องอิ่มแต่ปากยัง

ซื้อเนื้อและปูทอดติดมือไปแถวพระอาทิตย์

คนที่พระอาทิตย์ไม่ยอมให้ท้องมีพื้นที่เหลือ

สั้งโน่นนี่มาให้กินอย่างไม่รู้จักคำว่า “พอ

จากความตั้งใจเล็กๆ ที่จะอยู่ไม่นาน เลยเถิดไปหลังเที่ยงคืนโน่น

ทั้งพี่ช้าง พี่เสือดาหน้ากันลงคอไปนักต่อนัก

ปิดทริป “หนึ่งวันหนึ่ง” ด้วยการไปเดินดูข้าวของที่สนามหลวง

ตื่นตาแม้ว่าตาจะปิดมิปิดแหล่

ปวดขาแต่ก็ยังก้าวดูของไปเรื่อย

กว่าจะถึงบ้าน…ก็เกือบตาย

แต่เป็นหนึ่งวันที่ดีอีกวันนะ

บางอย่างทดแทนไม่ได้

มีของหลายๆ อย่างบนโลกนี้ที่ถูกคิดค้น และถูกนำมาใช้เพื่อทดแทนของบางอย่าง

ของหลายๆ อย่างที่นำมาใช้ทดแทนนี้ อาจจะด้วยหลายๆ เหตุผล อาจเป็นเพราะของเก่าเสื่อมประสิทธิภาพ, เหตุผลทางด้านต้นทุน-ราคา, ความสะดวกและประหยัดเวลา ฯลฯ

เราจึงมีกล้องถ่ายรูปดิจิตอลติดมือกันแทบทุกคน

หลายๆ คนเริ่มหันมาใช้พลังงานทางเลือกแทนการใช้น้ำมัน

บางคนไม่กินเนื้อสัตว์แต่หันมากินโปรตีนเกษตร

ชุมชนคนเขียนไดอารี่ออนไลน์เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน

ฯลฯ

ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่บอกเล่าถึง ‘การทดแทน’ นี้ สำหรับบางคนอาจทำใจได้ยากสักหน่อยเมื่อต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต งดเว้นสิ่งละอันพันละน้อยที่เคยคุ้น มาเริ่มต้นนับถึงใหม่กับสิ่งใหม่ๆ

บางคนเริ่มต้นใหม่ได้ดีและคุ้นชินไปในที่สุด

บางคนแสวงหาของทดแทนไปเรื่อยๆ อย่างสนุกสนาน

บางคนได้ลองแล้วและหันกลับไปสู่วิถีแบบเดิมๆ

บางคนควบทั้งของเก่าของใหม่

สำหรับเรา,

ของใหม่ๆ ในชีวิตเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์เสมอ

อะไรที่ได้ลองแล้วรู้สึกว่าเข้ากับชีวิต ไม่ขัดไม่เขินก็เลือกที่จะใช้

แต่ของบางอย่างมันทดแทนกันไม่ได้จริงๆ

เรามีปัญหาในการอ่านตัวหนังสือและเรื่องราวจากอินเตอร์เน็ต สมาธิไม่จดจ่อ มันจึงเป็นแค่การไล่สายตากวาดๆ อ่านแบบถากๆ ไปก่อน ถ้าอะไรที่อยากอ่านจริงๆ อาจจะใช้วิธีก๊อปลงเวิร์ดแล้วปริ้นท์ออกมานั่งอ่านอีกที

เคยมีคนทำนายทายทักว่าโลกเราจะเปลี่ยนวิถี คนเราจะอ่านหนังสือจากหน้าจอคอมฯ หนังสือเล่มจะหายไปจากโลกนี้ ในวันนั้นเมื่อราว 12 ปี เราค้านในใจอย่างที่นึกภาพไม่ออกเลยว่ามนุษย์ผู้รักการอ่านตาดำๆ จะก้มหน้าก้มตาสนุกกับตัวหนังสือบนจอได้อย่างไร

แล้วมันก็ยังอยู่,

หนังสือเล่มในวันนี้ยังคงอยู่ และเราก็ยังอยู่กับหนังสือเล่ม

การสัมผัสปก การพลิกแต่ละหน้า การสูดกลิ่นหมึก การไล่สายตาไปแต่ละบรรทัด เป็นสิ่งที่อินเตอร์เน็ต หรือจอคอมพิวเตอร์ให้เราไม่ได้จริงๆ เราได้ลองแล้ว และเลือกแล้วที่จะยอมซื้อหนังสือที่ราคาสูงขึ้นๆ ทุกวัน

และถ้าตราบเท่าที่โลกนี้ยังมีการผลิตกระดาษ,

เราก็ยังยืนยันที่จะเลือกเสพความสำราญบนหน้ากระดาษต่อไปเช่นกัน

อยู่ก่อนแต่ง

ผ่านไปหนึ่งเดือนครึ่งพอดิบพอดีที่เราใช้ชีวิตแบบ ‘ไร้งานประจำ’

ได้ทดลองอยู่กับชีวิตที่หลายๆ คนอาจจะบ่นว่า ‘ไร้อนาคต’

เพราะวันๆ ก็ได้แต่หายใจพร้อมกับใช้จ่ายเงินออกไปโดยไม่มีรายรับเข้ามา

ถามว่าหนักใจและเครียดคิดมากบ้างมั้ย?

ตอบโดยไม่สงวนท่าทีเลยว่าคิดมากเอาการอยู่

ไม่ใช่เพราะห่วงว่าจะอดตาย

แต่คิดไปหลายตลบทบไปอีกหลายรอบว่า “เราจะเอายังไงกับตัวเอง?”

หมายความว่า ตอนนี้เรารู้สึกยินดีกับชีวิตที่ไม่ต้องตอกบัตร แล้วก็อยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ

โจทย์ก็คือ แล้วเราจะอยู่ได้ยังไง?

งานไม่ประจำแบบรับจ้างกันเป็นครั้งคราวจึงกลายเป็นทางเลือกหลักที่เราเล็ง

แม้รายได้จะมาแบบไม่ประจำทั้งปริมาณและความถี่ไปด้วยนั้น

แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรายังเลือกเดินในแบบที่อยากได้

แวะมาอัพเดทกันว่า

วันนี้เราได้เริ่มงานแบบไม่ประจำแต่ผูกปิ่นโตกันไว้ราวๆ 3 เดือนแล้ว

เพราะรุ่นพี่ใจดีที่เชื่อมือและยื่นโอกาสให้เราคนหนึ่ง,

ขอบคุณพี่สาวคนนั้นที่เตือนสติในการคว้าหยิบโอกาส

จากวันนี้ไป,

เราและบริษัทที่เราทำงานให้ก็ต้องมาอยู่ก่อนแต่งกันสักหน่อย

จะได้รู้แกวกันว่าใครเป็นยังไง

ทั้งเราและฝ่ายนั้นแฮปปี้กันมากน้อยแค่ไหนกับการทดลองร่วมหอลงโลงครั้งนี้

ถ้าผ่านช่วงอยู่กินกันไปจนครบ 3 เดือนก็ค่อยมาว่ากันใหม่…

ใครอยากจะอวยชัยให้พรว่าที่บ่าว-สาวคู่ใหม่ที่กำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน

ทางนี้ก็ยินดีนักหนา