บันทึกถึง ‘บันทึกนกไขลาน’

1.
น้ำตา,
ความคับข้องทางอารมณ์,
สลัดไม่หลุด

มิสเตอร์นกไขลาน,
ฉันเพิ่งอ่าน ‘บันทึกนกไขลาน’ จบเมื่อยามดึกคืนวาน
นั่นหมายความว่าทุกตัวอักษรในความหนากว่าเจ็ดร้อยหน้ากระดาษ ฉันได้กวาดอ่านมาครบถ้วน และแม้เมื่อจบแล้ว, ฉันไม่แน่ใจนักว่าฉันได้เข้าใจอะไรบ้างในความสัมพันธ์และความแตกต่างของตัวละครกับเรื่องราวทั้งหมดที่มันซ้อนทับกัน-โยงใยกันอยู่

ฉันไม่อาจแน่ใจอะไรได้เลย,
สิ่งที่ฉันรู้สึก ณ ขณะนี้ เป็นแต่เพียงการหลงวุ่นอยู่ในเขาวงกตที่มุราคามิสร้างขึ้นมา
พูดให้สั้น “ฉันหลงทาง”
แต่ที่ไม่รู้ชัดกระจ่างใจ คือ ฉันยินดีที่จะเดินวกไปวนมาด้วยตนเอง หรือ สับสนจนไม่อาจสลัดหลุดกันแน่ และไอ้ความรู้สึกนี้นี่เองที่เป็นตัวการทะลายบ่อน้ำตา ฉันร้องไห้ทั้งๆ ทั้งที่ควานหาเหตุผลไม่เจอว่าฉันปล่อยให้น้ำตาทำงานอย่างหนักเพื่ออะไร บางที, นี่อาจเป็นความคับข้องทางอารมณ์ที่หาที่มาที่ไปไม่เจอ เป็นแต่เพียงความคลุมเครือที่ทำให้ชีวิตเกือบธรรมดาของฉันยากขึ้นมาก

2.
เสียงนกนอกบานประตู

สารภาพ, ฉันไม่เคยได้ยินเสียงนกไขลาน
แกรกกราก
แกรกกราก
แกรกกราก

อยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้

แต่ฉันได้ยินเสียงนกร้องรำอยู่นอกประตูระเีบียง
ฉันอ้าเปิดมันกว้างที่สุด, แม้ฉันจะไม่เห็นว่านกตัวไหนที่ส่งเสียงออกมา
แต่เสียงที่ได้ยินก็ทำให้รู้ว่านกตัวนั้นมีความสุข

ทั้งๆ ที่ไม่เห็น
แต่ฉันก็รับรู้ได้, น่าแปลกจริงๆ นะ

3.
32
ตามหาจนเจอ
ล้มเลิกกลางคัน
ไม่เคยมีปฏิบัติการอยู่จริง

คำถามที่ฉันถามตัวเองบ่อยๆ จนนึกรำคาญตัวเองอยู่บ่อยๆ ก็คือ ฉันเกิดมาทำไมและฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ซึ่งไม่รู้ว่าจะถามให้ได้ประกาศนียบัตรอะไร ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีคำตอบเลยสักครั้ง

อีกหนึ่งคำถามที่คาใจ และถูกใช้เป็นแกนหลักในการดำเนินชีวิตอันราบเรียบของฉัน คือ
ฉันคือใคร และต้องการอะไรที่นี่

นับไม่ถ้วนว่ากี่ครั้งตั้งแต่โตมาที่ฉันค้นหามัน
นับไม่ถ้วนอีกเช่นกันที่ฉันนั่งมองการเดินหน้าของผู้อื่น
“เค้าทำอะไรกันน่ะ?” ฉันนึกขึ้นมาบ่อยครั้งในหัว

จะมีไหมนะ,
ที่คนบางคนจะสับสนกับตัวตนจนตาย
มันไม่น่าร้ายแรงถึงขั้นนั้นหรือเปล่า หรือว่าร้ายแรงมากๆ จนต้องเร่งแก้ไข

ไม่รู้ว่าทั้งหมดที่ว่ามาคืออะไร
บางที,
อาจเป็นแต่เพียงความรู้สึกเสียใจ เศร้าเสียดายที่ฉันอ่านบันทึกนกไขลานจบก็เป็นได้
ฉันใช้เวลาอ่านไม่นานนักเมื่อเทียบกับความหนาของหน้ากระดาษ

ฉันสัมผัสมันทุกวัน ทุกคืนในช่วงระยะสั้นๆ ที่ผ่านมา
มันเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำที่สำคัญไม่แพ้การแปรงฟัน หรือขับถ่าย

ตอนนี้,
ฉันได้แต่มองหน้าปกอย่างเหงาหงอย
และคิดว่า “วันนี้ฉันจะทำอะไรดี?”

ฉันไปไม่เป็น
ฉันทำอะไรไม่ถูก
เพราะฉันก็เป็นแค่เพียงคนตัวเล็กๆ อายุครบ 32ที่สมัครใจว่างงาน
และยังสับสนกับความคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่แน่ใจเลยว่า ฉันปราบความคิดนั้นอยู่หมัด หรือพ่ายแพ้ยกธงขาว หรือที่สุดแล้ว, ฉันไม่เคยตามหา ไม่เคยขบคิด หรือสงสัยอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกายฉันเลย

คุณจะเข้าใจสิ่งที่ฉันบันทึกถึงคุณบ้างไหมนะ, มิสเตอร์นกไขลาน

หายไปกับสายลม

คนเราคงเหมือนต้นไม้ั
เริ่มต้นช่วงชีวิตด้วยการแทงดินโผล่พ้นขึ้นมาสูดอากาศบนโลกเพียงลำพัง
มีเพียงรากที่หยั่งลงดินเพื่ออยู่รอด และลำต้นที่ค่อยๆ ยืดขึ้นทีละนิด

ต่อมาต้นไม้แห่งชีวิตก็แตกกิ่งก้านสาขา, กระทั่ง
มีใบไม้ทยอยมาเพิ่มสีสันให้ชีวิตไม่ว่างเปล่า ให้กิ่งก้านไม่โกร๋นเกรียน
คอยอยู่เป็นเพื่อนร่วมรับแดด รอฝน ต้านลมด้วยกัน

ใบไม้เริ่มเยอะ
พร้อมๆ กับกิ่งก้านที่เพิ่มจำนวน

แล้ววันหนึ่งวันใด
ใบไม้บางใบในจำนวนมากมายนั้น
ค่อยๆ ร่วงหล่น ปลิดปลิวหายไปเงียบๆ

ฤดูแล้ว ฤดูเล่า,
เก่าไป ใหม่เยือน
เป็นเช่นนี้ไปจนกว่าต้นไม้ของชีวิตจะสิ้นอายุ

วันที่กิ่งก้านโล่งร้างไร้ใบ
ลำต้นและรากคล้ายจะสิ้นกำลัง
ใบไม้ที่เหลือคงทยอยปลิดตัวเองออกจากพันธนาการของกิ่งก้าน

ต้นไม้ไม่อาจรั้งยื้อใบไม้ที่อยากจากไป
แม้เสียใจ, แต่เป็นธรรมดาโลก

ต้นไม้ต้องเข้าใจและทำใจ,
ชีวิตที่เกิดจากดินเพียงลำพัง ย่อมต้องกลับคืนสู่ที่มาเพียงลำพัง

แต่ต้นไม้จะระลึกนึกถึงใบไม้ทุกใบที่เข้ามาเติมแต่งต้น,
และต้นไม้ก็จะนึกขอบคุณใบไม้เหล่านั้นที่เคยได้ผ่านหนาว ผ่านร้อนมาด้วยกัน

The Education of Little Tree

ลิตเติ้ลทรี
เป็นวรรณกรรมเยาวชนเล่มนึงที่ผ่านตา โฉบหน้าเรามาหลายปีแล้วแต่เราก็ยังไม่ยอมอ่านสักที จนเมื่องานหนังสือครั้งล่าสุดนี่หล่ะที่ตัดสินใจซื้อหามาอ่าน เหตุผลก็คงอย่างที่เราบอกตัวเองและบอกคนอื่นอยู่บ่อยๆ นั่นแหล่ะว่า หนังและหนังสือมันมีเวลาที่เหมาะสมกับตัวเราเหมือนกัน และตอนนี้ก็คงได้เวลาของหนังสือเล่มนี้ซะที

ลิตเติ้ลทรีเล่าวิถีชีวิตของชนเผ่าเชโรกีในแง่มุมเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ
ชนเผ่านี้ถูกรุกรานโดยคนขาว พวกเขาถูกบังคับให้ทำอย่างนั้น ถูกห้ามไม่ให้ทำอย่างนี้ และถูกมองอย่างต่ำต้อย โดนหยามเหยียดกับความเป็นตัวเองในแบบของพวกเขาที่ยึดถือมาเินิ่นนาน

เชโรกีรักธรรมชาติ,
ซึ่งเปรียบประดุจมารดา
เวลาที่เรารักอะไร เราจะไม่ทำร้าย ไม่ทำลาย แต่เราจะอยู่ร่วมอย่างสร้างสรรค์
และชาวเชโรกีก็เป็นเช่นนั้นเอง

ลิตเติ้ลทรี
เล่าเรื่องผ่านเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ชื่อลิตเติ้ลทรี เด็กชายกำพร้าซึ่งต้องมาอาศัยอยู่กับปู่และย่าซึ่งเป็นชาวเชโรกี เปรียบเสมือนต้นกล้าน้อยๆ ที่เพาะไว้จนเหมาะสม และถูกนำมาปลูกลงดิน ต้นไม้ต้นนี้ถูกเลี้ยงด้วยความเอาใจใส่ ทั้งรดน้ำ ให้ปุ๋ย พรวนดิน แถมยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ทั้ง ดิน น้ำ ลม ฤดูกาล

มีบ้างเหมือนกันที่ลิตเติ้ลทรีต้องเจออะไรแย่ๆ จากผู้ใหญ่ใจร้าย หรือจากกลไกของรัฐ แต่นั่นกลับทำให้เขายิ่งรู้โลก รู้รอบ และกล้าแกร่ง บางที, การสอนให้เด็กรู้จักมองโลกในแง่จริง และตักเตือนหรือบอกกล่าวกันด้วยเหตุผลก็เป็นวิธีที่ดีอย่างหนึ่ง

ลิตเติ้ลทรีที่เราอ่านจบลง
เป็นเหมือนภาพฝัน
ฉากในหนังสือที่ถูกบรรยายทำให้เห็นภาพอันสงบ สวยงาม และยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ รวมไปถึงสายใยที่มนุษย์กับธรรมชาติที่มนุษย์มิใช่เจ้าของ หากเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องอยู่อย่างเกื้อกูลและสร้างสมดุลย์ให้กันและกัน

วิถีชีวิตของชาวเชโรกีในหนังสือเล่มนี้น่าอิจฉามาก
และน่าจะเป็นรูปแบบชีวิตเรียบง่ายแต่อิ่มใจที่คนเมืองส่วนใหญ่บนโลกนี้ฝันอยากเป็น

นอกจากจะเล่าให้เราเห็นภาพชีวิตประจำวันและการพึ่งพิงธรรมชาติอย่างไม่โลภของ รวมถึงนิสัยใจคอของชาวเชโรกีแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมีแง่คิดดีๆ ที่ชาวเชโรกีใช้สอนลูกหลานของตัวเองด้วยวิธีการสอนง่ายๆ แต่ล้ำลึก หรือจริงๆ แล้วใช้สอนคนอ่านอย่างเราๆ อย่างแนบเนียน

อย่างเช่น

ย่าบอกว่าที่ผมทำน่ะถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อเราพบอะไรดีๆ สิ่งแรกที่น่าจะทำก็คือ แบ่งปันสิ่งดีนั้นกับใครก็ตามที่เราพบ เพื่อสิ่งดีจะได้แพร่ขยายออกไปอย่างไม่รู้สิ้นสุด ซึ่งก็ถูกของย่า

ผมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย มันว่างโหวงไปหมด ปู่บอกว่าปู่เข้าใจว่าผมรู้สึกอย่างไร เพราะปู่เองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากผม แต่ปู่บอกว่า ทุกอย่างที่เราสูญเสียไปหากเป็นสิ่งที่เรารัก เราก็ย่อมรู้สึกอย่างนี้ ปู่บอกว่ามีทางเดียวที่จะทำให้ไม่รู้สึกอย่างนี้ก็คือ ต้องไม่รักอะไรเลย ซึ่งนั่นแย่ไปกว่านี้ เพราะเราจะรู้สึกว่างเปล่าตลอดเวลา

ในความเป็นจริง ยิ่งเราทันสมัยเท่าใดโดยที่เราไม่ยึดในระบบคุณค่า เราก็จะใช้สิ่งทันสมัยต่างๆ ไปในทางที่ไม่ดี ในทางทำลายล้าง และก่อหายนะขึ้นได้

.
.
.
ถ้าเปรียบคนอ่านเป็นต้นกล้าเล็กๆ
หนังสือเล่มนี้ก็ทำให้รากเล็กๆ ของเราหยั่งลึกลงดินได้มากขึ้น
และทำให้กิ่ง ก้าน ใบ ขยาย แตกก่อต่อยอดไปได้อย่างนุ่มนวล

Me Made Kitchen : แกงจืดไข่น้ำ

สวัสดีค่ะท่านผู้ชม
รายการ Me Made Kitchen : ครัวสุนันทา ก็มาพบกับทุกท่านเป็นครั้งแรกนะคะ
อันเนื่องมาจากการเห่อกระทะไฟฟ้ายังไม่สิ้นสุด อิชั้นเลยคิดเมนูง่ายๆ เพื่อทำให้ตัวเองอิ่มและอร่อยด้วยนิดๆ หน่อยๆ ทุกวัน วันละหลายๆ มื้อ โดยใช้ของสดที่ยังหลงเหลือในตู้เย็น อันได้แก่ ผัดต่างๆ ไข่ไก่ หมูสับ และนั่นนี่นู่นเป็นวัตถุดิบค่ะ

และสำหรับมื้อเย็นอันโดดเดี่ยวสำหรับสาวโสดผู้เดียวเดียวในวันนี้ ได้แก่เมนู “แกงจืดไข่น้ำ” หรือจะเรียกว่า “ไข่น้ำ” เลยก็ได้ เพราะตอนเด็กๆ ที่เห็นแม่ทำอิชั้นก็เรียกแบบนี้มาตลอด แต่ว่าสูตรสุนันทาในวันนี้แตกต่างจากที่แม่ทำในวันนั้น

ตามมาดูกันเลยค่ะว่าจะยากง่ายยังไง

อย่างแรกก็วัตถุดิบของเรา มีหมูสับ เต้าหูขาว ผัก เห็ด และไข่
.
.
.

เอาผักมาหั่น เอาไข่มาตีและใส่หมูสับลงไปด้วย
ต่อจากนั้นก็

จับเต้าหูขาวมาหั่น…ทั้งหมดพร้อมแล้ว!
แต่
แต่
แต่

เปลี่ยนใจเอาเห็ดนางฟ้าใส่ไปในไข่ที่จะทอดด้วยดีกว่าเนอะ จัดการฉีก จิก หั่น หรือจัดเป็นชิ้นเล็กๆ เวลาเคี้ยวทั้งไข่ หมู และเห็ดจะได้รมกันเป็นคำเดียว


นี่คือผู้สนับสนุนเราในวันนี้ค่ะ
เอาซ้อสหอยนางรมเหยาะลงไปในไข่ที่เราตีไว้นิดหน่อยพออร่อย
เตรียมน้ำปลาไว้ปรุงรสตอนทำเป็นแกงจืด
น้ำมันสำหรับทอดไข่ไง
.
.
.

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อม จะรอช้าอยู่ใย
เล็ทส์โก!


ตอนที่จะทอดไข่ไม่ต้องใส่น้ำมันเยอะมากนะ ทอดให้ไข่เราออกแห้งๆ
(ตอนนี้กลิ่นไข่หอมมากจนอยากจะเปลี่ยนเป็นข้าวไข่เจียวขึ้นมา)
พอทอดไข่ได้ที่ ก็ตัด ตัด ตัดให้เป็นชิ้น


จากนั้นก็เทน้ำลงไปพอประมาณ หรือแล้วแต่ความชอบ
พอน้ำเริ่มเดืิอดปุดๆ ก็โยนผักตามไป
ผักเริ่มจะสุกก็เหยาะน้ำปลาลงไป ชิมแล้วโอเึคจากนั้นก็…


ใส่เต้าหูขาวเป็นอย่างสุดท้าย
รอจนเดือด เต้าหู้สุกก็ใช้ได้


ตั้งโต๊ะ!
ไม่น่าเชื่อว่าน้ำแกงจะกลมกล่อมเพราะไม่ได้ใส่อะไรมากมายเลยนอกจากน้ำปลา
ความหวานน่าจะมาจากผัก และความอร่อยส่วนหนึ่งคงมาจากไข่ทอดที่เราใ่ส่ซ้อสหอยนางรมไว้ รวมกันเหมาะเจาะ รสชาติดีอย่่างที่ไม่ต้องพึ่งผงชูรส หรือป๊อกป๊อก หรือ ฉึกฉึก

และนี่ก็คือคำสุดท้ายของจานที่สอง!

สำหรับวันนี้ Me Made Kitchen ครัวสุนันทาที่อร่อยแบบสุนันทา
(หมายความว่า คนอื่นกินแล้วจะอร่อยหรือเเปล่าไม่รู้อ่ะนะ)
ต้องขอลาไปก่อน คราวนี้จะมีเมนูอะไรมานำเสนอนั้นคุณๆ ต้องติดตามต่อไป

มื้อแรก

ก่อนหน้านี้,
ชีวิตง่ายๆ อันเป็นปกติที่ทำมาโดยตลอดก็คือ กินข้าวปลาวันละสองมื้อหลัก
นั่นคืออ กินมื้อเช้าควบกลางวัน และมื้อเย็น

ซึ่งก็ไม่ได้จะส่งผลร้ายอะไรมากมายกับชีวิต และเป็นความเคยชินที่ไม่ได้คิดจะปรับปรุง นอกเสียจากว่าถ้ากลับบ้านครั้งใดก็จะตื่นเช้ามากินข้าวเช้าด้วย และจะกินข้าวให้ครบทั้งสามมื้อ เพราะอาหารที่ย่าทำให้กินมันอร่อยกว่าที่ซื้อเขากินทั่วไป และเพราะได้กลับบ้านเมื่อครั้งล่าสุดที่แหล่ะ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับชีวิตเรา

ญาติๆ ตกใจที่เราผอมไปมาก
ตกใจกันจนเราตกใจไปด้วย
ที่พูดอย่างนั้นก็เพราะเรารู้ว่าเราผอม น้ำหนักลงทุกเดือน หมอได้เตือนเราแล้วว่ายาที่กินอยู่มันจะทำใ้ห้ไม่เจริญอาหารนัก ประกอบกับเบื่ออาหารแถวๆ อพาร์ตเม้นท์ด้วย ทำให้เรากินได้น้อยลง เดาว่ากระเพราะอาหารเลยหดตามไปด้วย กินอะไรนิดเดียวก็อิ่มซะละ แต่ก็เห็นหน้าตัวเองอยู่ทุกวัน เลยไม่ได้ตกใจกับแก้มที่ตอบ แขนที่เล็กลง กระดูกที่โผล่ตรงนั้นตรงนี้ชัดขึ้น

แต่คนที่บ้านนานๆ จะเจอเราที,
พอเจอสักทีเลยตกใจยกใหญ่ เป็นห่วงเป็นใยกลัวเราจะอดตาย
แถมยังกระแดะไม่ทำงานประจำอีกแน่ะ เลยเหมือนปนกันไประหว่างผอมเพราะจนและเพราะโรค

ก่อนกลับกรุงเทพ
ญาติๆ และย่าเลยให้ตังค์มาซื้อกระทะไฟฟ้าเอาไว้ทำโน่นนี่กิน
แถมยังให้เราหอบเสบียงเล็กๆ น้อยๆ ติดมาด้วยแน่ะ

เมื่อวานได้ฤกษ์ไปซื้อกระทะมา
รู้สึกตื่นเต้นมากๆ

ดังนั้น,
มื้อเช้าของวันนี้จึงมิได้มีเพียงน้ำส้มที่คั้นเอง
แต่มีไข่ดาว และของทอดง่ายๆ ตามมาเป็นเพื่อนด้วย
อาจไม่ได้อิ่มท้อง หนักท้องอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยก็ได้กินมื้อเช้าเป็นมื้อแรก
น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีไม่ใช่เหรอ?

ไม่รู้ว่าเราจะเลิกเห่อกระทะ และมื้อเช้าหรือเปล่า
แต่อย่างน้อยจะบอกตัวเองว่าทอดไข่ดาวสักวันละฟองสองฟองก็ยังดีใช่มั้ยล่ะ?

อกหัก

ใครๆ ก็ควรเคยอกหัก
ถ้าหัวใจยังมิด้านชาแช่แข็งก็คงโดนหักอก หรือไปหักอกใครบ้าง

ตั้งแต่เกิดมาโดนหักอกไปกี่ครั้ง, เคยลองนับนิ้วดูมั้ย?
และเคยลองนึกเล่นๆ บ้างหรือเปล่าว่า การอกหักครั้งไหนที่แรงสั่นสะเทือนมันเลื่อนลั่นรุนแรง เข้าข่ายว่าเป็นการอกหักที่เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนความคิด หรือเปลี่ยนหัวใจเราไปเลยน่ะ

ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์สังคม เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะต้องสร้างสัมพันธ์ และแน่นอนว่าต้องเสี่ยงกับการสูญสัมพันธ์ โชคดีอยู่บ้างที่บางสายใยมันไม่แน่นหนา ไม่พันตัวเราเยอะ เมื่อมันจางลงไป กับบางครั้งแทบไม่รู้สึก

แต่เพราะมีบางเยื่อใยที่มันห่อหุ้มเราไว้จนหนา แบบที่ว่าถ้ามันบางลงเราจะรู้สึกทันทีนี่ซิ ถึงทำให้เราอกหัก

การอกหักแบบนั้นน่ะเรามี,
ยังจำได้แม่นเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน
ไม่รู้เหมือนกันว่าจดจำเอาไว้ทำไม สงสัยเพราะจะได้จำเอาไว้เป็นบทเรียนละมั้ง เพราะเราเชื่อว่าต้นเหตุของการปริลอกของความสัมพันธ์ที่ได้สูญหายไปนั้น มันก็มาจากตัวเราเองส่วนหนึ่ง

พวงมาลัย
อกหักครั้งแรกของเราเกิดขึ้นตอนประถมฯ
เราเป็นเด็กบ้านถลอก ปริร้าว (ตอนนั้นบ้านเรายังไม่ถึงกับแตก) เลยไม่รู้ตัวว่าต้องการความรัก ความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง จริงๆ ก็เป็นธรรมดาของเด็กนั่นแหล่ะ ที่เมื่อทำอะไรที่คิดว่าดีก็อยากจะอวด อยากจะได้รับคำชมจากผู้ใหญ่

มีอยู่วันนึง เรานั่งร้อยมาลัยส่งครูอยู่ที่บ้านย่า พร้อมๆ กับหลานคนอื่นๆ ที่นั่งทำงานประดิษฐ์อยู่ด้วยกัน พอเราร้อยเสร็จก็เอาให้ย่าดู หวังจะได้คำชม เพราะเราเป็นคนร้อยมาลัยสวยจริงๆ เราร้อยมาตั้งแต่เด็กๆ กลายเป็นว่าย่าไม่สนใจแม้แต่จะมอง หันไปชมของคนอื่นอยู่นั่นแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนโลกถล่ม เราไม่มีตัวตนในสายตาใครๆ

ยิ่งเราเป็นเด็กที่ไม่เจ๊าะแจ๊ะ ไม่ช่างเอาอกเอาใจด้วยแล้ว ตอนหลังมาเรายิ่งกลายเป็นเด็กที่อยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ชอบเข้าหาญาิติๆ เข้าใจเอาเองตอนหลังว่ามันคือ การกลัวถูกปฏิเสธ

แม้ตอนหลังที่โตขึ้นแล้ว จะได้รับรู้เหตุผลบางประการของย่าและญาติๆ ในสมัยนั้น และความสัมพันธ์มันก็ถูกพัฒนาดีขึ้นก็ตาม แต่ปมของเหตุการณ์เล็กๆ วันนั้นมันก็ยังฝังแน่นไม่หลุดไปเสียที รวมถึงปมเรื่อง “ใครๆ ก็ไม่รัก” ยังตอกย้ำเราอยู่เรื่อยมา

เพื่อนร่วมห้อง
ตอนเราอยู่ ม.6 มีเพื่อนในห้องหลายคน รวมถึงเพื่อนสนิทในกลุ่มสอบติดโควตาที่ ม.เชียงใหม่ไปด้วยกัน เราและเพื่อนสนิทคนนั้นก็เลยเป็นรูมเมทไปโดยปริยาย และเพราะมีเพื่อนสอบติดมาเยอะนี่แหล่ะ ทำให้เราอุ่นใจ ไม่คิดว่าต้องรีบหาเพื่อน หรือเติมสังคมใหม่ๆ

เมื่อมาอยู่ด้วยกัน ก็ได้้เห็นข้อเสียของแต่ละคน โดยเฉพาะของเราที่ทำให้เพื่อนคนนั้นเสียใจอยู่บ่อย และประกอบกับเพื่อนคนนั้นเริ่มมีเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่ เราเลยเริ่มเหงา และน้อยใจจนมีเรื่องมีราวกันบ่อยๆ

เมื่อจบปีสอง เราต้องดิ้นรนหาหอพักกันใหม่ เพื่อนคนนั้นก็มาบอกกับเราว่ามีรูมเมทแล้ว
เราเคว้ง เราคว้าง
เราจะไปจับกลุ่มกับใคร
เรายังไม่มีเพื่อนใหม่ที่สนิทพอจะอยู่ด้วยกัน แต่เพื่อนเราได้หอพักแล้ว

จำได้ว่าเราดิ้นรนไปอยู่กับคนโน้นคนนี้ ย้ายหอไปมาหลายครั้งมาจนรู้สึกเสียคุณค่าในตัวเอง รู้สึกแย่ว่าเื่พื่อนไม่รัก เพื่อนทิ้งขว้างเราอย่างไม่สนใจว่าเราจะมีที่อยู่ที่ทางไปยังไง

เมื่อเราลงตัวกับชีวิตเราก็เลิกเสียใจซะดื้อๆ
ตัดเพื่อนคนนั้นออกจากชีวิตไปซะเฉยๆ
ไม่ติดตามข่าว ไม่สนใจ ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น ไม่อยากติดต่อ, กระทั่งทุกวันนี้

เราไม่ได้โกรธแล้ว คือ ไม่รู้สึกอะไรเลยสักอย่าง
มันเสียใจจนความรู้สึกมันกลับเป็นสูญ-ศูนย์

นี่เป็นการอกหักที่เราตัดใจได้เด็ดขาดครั้งแรกในชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ

เปราะบาง
การอกหักครั้งล่าสุดอาจจะเพราะเราิคิดว่าสายใยเรามันแน่นเหนียว
แท้ที่จริงแล้วมันเปราะบางราวแก้ว

หล่นเบาๆ หนึ่งครั้งยังมีรอย
นับประสาอะำำไรกับการหล่นโครม

เป็นการอกหักที่เสียใจจนบอกไม่ถูกว่ามากแค่ไหน,
คล้ายกับสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป
นึกขึ้นมาเมื่อใดก็น้ำตาไหลทุกที

แม้จะบอกว่าตัวเองว่าทำใจได้แล้ว,
แต่เรารู้ดีว่าไม่มีทางทำใจ และตัดใจได้เลย
อาจเป็นเพราะน้ำหนักของความสำคัญของความสัมพันธ์ครั้งนี้มันมาก

เป็นเหมือนก้านบัวที่ยังเหลือใยบางๆ เอาไว้แม้จะถูกตัดด้วยคมมีด
มาคิดๆ ดูแล้วด้วยสติ,
อยู่กันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน รักษาระยะห่างจะได้ไม่ทำกันและกันเจ็บปวด
แต่ประเด็นคือ หัวใจเรายังเจ็บปวดอยู่ไม่ยอมหายนี่ซิ

32

ตื่นเต้น,
เพราะไม่เคยอายุ 32 มาก่อน

อายุเป็นเพียงตัวจริงๆ
เพราะเราไม่เคยทำอะำไร มีอะไร และเป็นอะไรอย่างที่คนวัยเดียวกันควรทำ ควรมี และควรเป็นเลย
เราเลือกทางเดินอีกอย่างเพราะไม่อยากอยู่อย่างอยาก และยังมีเหตุผลส่วนตัวอีกหลายหลากที่ทำให้ไม่อยากรีรอที่จะเลือกทำอย่างที่คิดเอาไว้

แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมันไม่ได้ส่งผลดีอะไรในระยะยาว
แต่ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้วอีกครั้ง,
เราก็จะยังเลือกทำ และตัดสินใจในแบบเดิม

ในวันเกิดปีนี้ก็ยังคล้ายกับปีเดิมๆ
นั่นคือ ไม่ได้ออกไปฉลองที่ไหน อยู่กับตัวเเองเงียบๆ เบาๆ
ไม่มีเค้กให้เป่า ไม่มีเหล้าเบียร์ให้ดื่ม
มีแค่ทีวีให้ดูข่าว มีหนังสือให้อ่าน มีคอมฯ ให้ติดต่อโลก และมีสมุดบันทึกให้เขียน

ไม่ได้กระแดะทำตัวสันโดษ
แต่เพราะอายุขนาดนี้แล้ว เลยไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องทำอะไรหวือหวากับวันนี้
แค่ได้ขอบคุณแม่ที่อดทนกับลูกคนนี้….ก็มากเกินพอ

สวัสดีวันเกิด