A Simple Life – ภาพชรา

วันนี้ฉันไปดูหนังคนเดียว
‘คนเดียว’ ที่หมายถึง ทั้งโรงหนังมีฉันอยู่คนเดียว!

A Simple Life – หนังปลง
ภาษาอังกฤษ คือ ชื่อหนังฮ่องกง ส่วนภาษาไทยข้างหลังนั่น คือ ประโยคสรุปของฉันต่อหนังเรื่องนี้

มันเป็นหนังเรียบง่ายแต่จับใจเหลือเกิน
ดำเนินเรื่องเรียบ ง่าย ธรรมดา จับต้องได้
มันไม่หวือหวา ไม่สนุกออกรสมาก แต่ดูได้จนจบตลอดทั้งเรื่องโดยที่ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย

ตอนต้นเรื่องบอกเอาไว้ว่ามันทำมาจากเรื่องจริง
ตัวละครหลักมีอยู่สองคน หนึ่งคือ นายจ้าง อีกหนึ่งคือ คนรับใช้
หนังเล่าชีวิตความผูกพันธ์ของคนสองคน คนสองรุ่น รุ่นต่อรุ่น รุ่นสู่รู่น
แม้ฐานะจะไม่เท่ากันทางสังคม แต่ในแง่ความสัมพันธ์เขาและเธอเป็นครอบครัวเดียวกัน

เธอเลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิด, เคยดูแลกระทั่งแม่ของเขา และต่อมาถึงหลานของเขา
เธออยู่ในครอบครัวของเขามาราว 60 ปี – ระยะเวลายาวนานในการดูแลเอาใจใส่
เมื่อวันที่เธอดูแลคนที่เธอรักและกระทั่งตัวเธอเองไม่ได้อีกต่อไป
เขายื่นมือมาจับเธอไว้พร้อมกับการเอาใจใส่ดูแลด้วยหัวจิตหัวใจของคนในครอบครัวเดียวกัน
แม้บางครั้งเธอจะบ่ายเบี่ยงปฎิเสธเพียงเพราะเกรงใจ ไม่อยากต้องเป็นภาระยุ่งยากให้กับใคร
แต่ความดีใจและความภูมิอกภูมิใจมันแสดงออกทางสีหน้าและแววตาของเธออย่างปิดบังไม่ได้

เขาไม่ละทิ้งในวันที่สังขารเธอง่อนแง่น
เขาไม่เพิกเฉยต่อความชราภาพของเธอ

ภาพความชราเป็นสิ่งที่น่ากลัวและไม่พึงประสงค์ต่อใครหลายๆ คน
แต่มันเป็นภาพที่สะท้อนความเป็นจริงของมนุษย์ได้อย่างดีที่สุด
เมื่อเราเกิดมานั้นย่อมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และดำเนินชีวิตจนถึงจุดที่กลับไปตั้งต้นอีกครั้ง,
นั่นคือ ต้องพึ่งพิงอิงพาผู้อื่น

ใครๆ ก็ต้องแก่แม้จะไม่อยากแค่ไหนก็ตาม
จะดึงรั้งอย่างไรก็ต้องแก่เฒ่า
คนแก่เองก็อยากมีชีวิตอย่างเป็นปกติเหมือนในวัยที่ล่วงผ่าน
แต่สังขารไม่เอื้อ ร่างกายไม่อำนวยทำให้อึดอัดคับข้องใจ
โรครุมเร้า แต่ลูกหลานไม่รุมล้อมอีกต่อไป

ไม่มีคนแก่คนไหนที่อยากเป็นภาระ
พวกเขาแค่อยากเป็นภาระผูกพันธ์ทางใจกับใครสักคนในวัยใกล้ฝั่ง
พวกเขาแค่อยากมีตัวตน พวกเขาแค่ควบคุมร่างกายไม่ได้ พวกเขาแค่ต้องรอการประคับประคอง

ฉันชอบที่หนังเรียบๆ เรื่องนี้พาไปเจอเรื่องราวของวัยชราภาพ
มันเป็นเรื่องราวเล็กๆ ในมุมหนึ่งของสังคมยุคปัจจุบันที่อาจถูกมองข้าม
เราอาจไม่เคยเห็นชีวิตความเป็นอยู่ และสังคมเล็กๆ ของผู้คนในสถานสงเคราะห์คนชรา
เราอาจไม่เคยเห็นกระทั่ง…หัวใจที่ใกล้ริบหรี่

และที่ชอบที่สุด คือ หนังไม่ได้พยายามทำตัวเองให้เป็นหนังเศร้า
ไม่ได้กดดันให้เราบีบคั้นเค้นน้ำตาออกมาขณะที่ดู
แต่หนังทำให้เราได้คิด, คิดถึงเรื่องของคนแก่ที่บ้านที่เราควรต้องเอาใจใส่ให้มาก
และทำให้เราเริ่มคิดกังวลถึงตัวเองในอนาคตที่ต้องแก่ตัวลงบ้าง ซึ่งทางที่ดีที่สุดคงต้อง ปลง

หนังทำให้เรายังมีความหวัง,
ความหวังอันน่าตื้นตันว่าบนโลกวุ่นวายใบนี้ที่ทุกคนกำลังพล่านทุกวิถีทางในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
กระทั่งเอาเปรียบ โกง หาผลประโยชน์บนหัวคนอื่น
ยังมีใครบางคน, และหลายๆ คนที่ไม่ได้หวังผลในทางใดๆ กับใคร เพียงแค่หวังดีและทำดีกับคนรอบๆ ข้างเท่านั้นเอง

A Simple Life สะท้อนภาพชีวิตที่ไม่ได้โหดร้ายแต่จริงจนบางทีเราก็จุกและจำอยู่ในหัวใจ

เริ่มตอนจบ

ถ้าต้องนับถอยหลังเืพื่อการใ้ช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้…เราจะทำยังไง?

ในหนังฟอร์มเล็กๆ อย่าง Seeking a friend for the end of the world
บอกว่ามนุษยชาติกำลังนับถอยหลังเำพื่อเข้าสู่วันโลกแตกของจริง
เพราะอุกาบาตลูกยักษ์กำลังพุ่งตรงเข้ามาอย่างที่ไม่อาจทำลายทิ้งได้
ทุกคนสิ้นหวัง ทุกคนบอกตัวเองว่า…กำลังจะตายพร้อมๆ กัน

ฉันชอบที่หนังไม่ได้สร้างฮีโร่
ไม่มีใครลุกขึ้นมาปกป้องกันและกัน
ทุกคนวุ่นวายกับการคิดเรื่องของตัวเอง

บางคนเสียสติ
บางคนก่อจราจล
บางคนเลือกทำลายตัวเอง
บางคนยังใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ
แต่บางคน…ยังคิดไม่ตกว่าตัวเองต้องทำอะไร

ในท่ามกลางความสับสนท้อแท้กับชีวิตที่เหลือเพียงไม่กี่วัน
ใครบางคนสนุกสนานและเต็มที่กับวันเวลาที่เหลือ เพราะเขาเชื่อว่า
“โลกแตกทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน”

แน่นอน,
เวลาในชีวิตเหลือเท่าๆ กัน
แถมยังต้องรอเวลาตายพร้อมๆ กัน
เกียรติยศ เงินทอง ชื่อเสียง หน้าตา หรือ กระทั่งเซ็กส์! มันย่นระยะแคบระหว่างกัน
คล้ายไม่มีช่องว่าง ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างบ้างคลั่ง สุดทาง

กับบางคนที่อยากอยู่สงบๆ ก่อนตาย
ไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนักกับวันที่เหลือ
หรือจริงๆ แล้วมันว่างเปล่าซะจนน่าเศร้ากว่าการที่ต้องตายเสียอีก

ถามจริงๆ
ถ้ามันเกิดขึ้นกับตัวเราขึ้นมา
เราอยากทำอะไร อยากอยู่กับใคร?

แม้หนังจะไม่หวือหวาอย่างหนังสิ้นโลกทั่วๆ ไป
แต่ความสนุกเพลิดเพลินก็ดำเนินไปได้ด้วยตัวละครของ ‘เขา’ และ ‘เธอ’
ความต่างสองขั้วที่บังเอิญต้องร่วมทางในโค้งสุดท้ายของชีวิตพอดี

มีเรื่องวุ่นๆ ให้แก้ไข
มีเหตุการณ์มากมายให้ขบคิดในเวลาที่ไม่ควรต้องมาคิดอะไรมาก

เขาและเธอต่างรู้สึก,
มันคือความพิเศษในห้วงเวลาสลด

ทั้งสองคนเป็นคนพิเศษของกันและกันโดยที่ไม่ต้องสื่อสารด้วยคำพูด
แววตา การกระทำ มันแสดงออกถึงความรู้สึกได้มากที่สุด

อะไรจะน่าเศร้ากว่ากัน
ระหว่างเกิดความรักชึ้นในวาระสุดท้าย
หรือตายไปอย่างโดดเดี่ยว?

แม้เขาและเธอจะรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีว่าเมื่อเริ่มต้นมันก็จบเสียแล้ว
แต่ทั้งคู่ต่างเลือกที่จะเก็บเกี่ยวเอาไว้

มันเจ็บปวดที่เราต้องเห็นอีกฝ่ายต้องตายลงต่อหน้า
แต่มันคงเป็นการตายที่สวยงาม,
เมื่อเราได้เกาะเกี่ยวกุมมือกอดก่ายอยู่กับคนที่เราอยากตายไปพร้อมกัน

หนังไม่ได้้ฟูมฟาย
ไม่มีฉากบังคับให้เสียน้ำตา
แต่ความซาบซึ้ง โหวงเหงกลับเกิดขึ้นในใจฉัน

มันเป็นความตายที่น่าอิจฉา!
จะไม่ให้อิจฉาได้อย่างไรในเมื่อรู้วันตายได้ล่วงหน้า แถมยังไม่ต้องนอนตายตาปริบๆ อยู่คนเดียวอีก
นี่มันคือยอดปรารถนาของมนุษย์เราเลยมิใช่หรือ

อย่างที่เรารู้ๆ กันดีในยามที่ต้องการปลอบตัวเอง
แม้จะเป็นความเชื่อลมๆ แล้งๆ
แต่จุดจบของอะไรบางอย่างมักเป็นตอนเริ่มต้นของอะไรสักอย่างเช่นกัน

และัไม่ว่าเราอยากจะให้เรื่องนั้นๆ จบสิ้นไปหรือไม่
เมื่อมันถึงเวลาเราเองไม่อาจขัดและขืนได้
ได้แต่หวังว่าตอนเริ่มต้นเรื่องใหม่มันจะทำให้เราสดใสชึ้น…เท่านั้นเอง

เรื่องขึ้นหน้า

มีเรื่อง!
เกิดเรื่องขึ้นหน้าขึ้นตา จนไม่สามารถสู้หน้าใครได้

เกิดมีเม็ดผื่นผดบ้าอะไรไม่ทราบได้
ยกพลขึ้นบุกหน้าเราเมื่อราวๆ กลางเดือนที่แล้ว
ค่อยๆ บุกกันมาทีละเม็ด ทีละหลายเม็ด สนุกสนานกับการกระจายตัวอยู่ในทุกอณูหนังหน้า
แล้วพวกมันเริ่มประสานมือกันเพื่อแผ่เป็นผืนหนาใหญ่
จากที่ไม่ได้สนใจ ไม่ได้เอะอะตกใจกับการมีเม็ดผด
ทิ้งระยะไม่นาน ก็ทำเอาหน้าเละ!

เกาหัว ลูบหน้าที่หนาขึ้นๆ อย่างงงงวย
ตกลงว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง อะไรเป็นสาเหตุ
แพ้ฝุ่น แพ้น้ำ เป็นหัวข้อแรกๆ ในการปรักปรำ

ปล่อยไว้นานวันเข้าเม็ดผดค่อยๆ สลายหายหัว
เหลือแต่เทือกปื้นสีแดงเถือก และความสากระดับสถุล
คิดเองเออเองว่า “คงใกล้จะหาย”

ต่อมาปื้นเริ่มหนา หน้าเริ่มสากด้านรุนแรง พ่วงมาด้วยขุยสีขาว
ส่องกระจกแล้วรวดร้าว หน้าตาเหมือนคนเป็นโรคติดต่อร้ายแรง
อย่าว่าแต่ใครจะอยากจดจ้องมองหน้า เราเองยังไม่อยากเอาหน้าไปให้ใครเห็น
แถมเจ็บแสบกว่านั้น ด้วยการดันดึงหน้าเราจนตึงเพราะความแห้ง ทำให้สันจมูกแบนราบ ตาสองข้างเฉี่ยว หนังตาตก แก้มบวม

คณะผดผื่นทำเอาเราแสบ คัน ทรมาณกายและใจใหญ่หลวงนัก
นับเป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องขึ้นหน้าชนิดสาหัสที่อาจทำให้เสียหน้าได้เลย

คนสนิทคิดว่าอาจจะเกี่ยวกับยารูมาตอยด์ที่เราต้องกินทุกวี่วัน
ฉันเลยตัดสินใจบุกไปถามหมอประจำตัว ประจำ’ตอยด์
คุณหมอน้อยใจ บอกว่า “อย่าโทษยาซิ” กินมาตั้งหลายปีอยู่ๆ จะมาเป็นได้ยังไงกัน

หมอ’ตอยด์เลยส่งตัวและหน้าของเราไปให้หมอผิวหนัง
หมอส่องๆ เล็งๆ แล้วบอกว่า “ป่วยระยะสุดท้าย!”
เราหายใจเฮือกด้วยความตกใจ เพราะเข้าใจผิดมาตลอดว่ามันใกล้จะหายดี
หมอบอกว่าถ้าทิ้งไว้หน้าจะสากด้านหน้าแบบนี้ไปถาวร!

สุดท้ายหมอขอเจาะเลือด
อยากตรวจดูให้แน่ใจว่าเรื่องขึ้นหน้าที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่ดับไปนี้จะเกี่ยวข้องกับโรครูมาตอยด์ที่เราเป็นอยู่หรือเปล่า
เจาะเลือดทิ้งไว้ก่อน แล้วอีก 7 วันข้างหน้ามาคุยกัน
แต่ระหว่างนั้น, หมอให้ยามาทา ให้ยามากินไปพลางๆ เพื่อซ่อมแซมใบหน้าไม่ให้แย่แหยไปกว่านี้

จบการพบหมอ,
รอเวลาจ่ายเงิน ทำเอาใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ
พอได้ยินราคา หน้าแทบจะเห่อขึ้นมาซะอีกรอบ
ไอ้ค่ายาน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ค่าแล็บวิเคราะห์ผลเลือดนี่แหล่ะที่ทำเอาเครียด

แต่ยังไงก็ตาม,
ต้องรักษาหน้าต่อไป เพื่อจะได้ยืดอกอยู่ได้อย่างสบายใจในสังคม
หวังว่ามันจะหายไปอย่างถาวร ไปแล้วไม่ลับไม่กลับมา และไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้จดจำ