ในที่สุดเราก็ได้ดูหนังในไตรภาคว่าด้วยเรื่องการล้างแค้น ของผู้กำกับ Park Chan-Wook (น่าจะอ่านว่า ปาร์ค ชาน-วุค) ซึ่งถ้าเรียงลำดับตามที่ผู้กำกับทำออกมามันก็จะเป็นดังนี้ คือ Sympathy for Mr. Vengeance (2002) ตามด้วย Oldboy (2003) และล่าสุดปิดความแค้นด้วย Sympathy for Lady Vengeance
คาดเอาว่าคนส่วนใหญ่ในบ้านเราน่าจะรู้จักชื่อผู้กำกับคนนี้และติดใจเอามากๆ จากเรื่อง Oldboy ก่อน ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนที่เริ่มได้ยินข่าวในสายบันเทิงว่าหนังจากเกาหลีได้รางวัล Grand Prize of the Jury จาก Cannes Film Festival และต่างๆ มากมาย ยิ่งถ้าเปิดอ่านนิตยสารเกี่ยวกับภาพยนตร์ก็ยิ่งจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันต้องมี ‘อะไร’ แน่ๆ และเมื่อมันมีกำหนดเข้าฉายในบ้านเรา เราย่อมไม่พลาดเห็นๆ และเมื่อออกจากโรง เราก็ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจนทำให้รู้ว่าหนังเรื่อง Oldboy เป็น 1 ใน 3 ที่ผู้กำกับคนนี้ทำขึ้นมาด้วยเรื่องราวของความอาฆาตแค้น และการตามทวงแค้น
ลำดับการดูหนังไตรภาคของเราจึงเริ่มด้วยเรื่องของชายแก่ก่อน จึงค่อยมาเป็นความแค้นของหญิงสาว และหมาดๆ กับการอาฆาตของชายหนุ่ม คิดเหมือนกันว่าอยากดูตามลำดับที่พี่ปาร์คฯ แกจัดมาให้ แต่ทำไงได้ เผลอดูเรื่องแรกไปแล้ว ลำดับสับเปลี่ยนและรวนไปหมด แต่ยังไงอรรถรสของหนังก็ยังไม่เสียไปมากมาย
อย่างที่บอกว่าหนังทั้ง 3 เรื่องมีจุดเชื่อมกันอยู่ที่ความแค้นแสนสาหัส และปฏิบัติการทวงแค้น ที่ไม่มีเรื่องเวลามาปิดกั้น เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน รอยกรุ่นของความแค้นก็พร้อมจะลุกโชนอยู่ทุกเมื่อที่มันเจอเชื้อไฟที่เหมาะที่ควร ซึ่งเมื่อเป็นเรื่องการแก้แค้น ภาพความรุนแรงต่างๆ นานาจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีไม่ได้ ขาดไปก็เหมือนกินข้าวแล้วไม่มีน้ำพริกน้ำปลา อาจจะกินได้แต่ไม่อร่อยลิ้น ยิ่งถ้าใครชอบความสะใจและเลือดที่สาดกันเป็นว่าเล่นใน Kill Bill ก็คงต้องบอกว่าระดับความมัน ความสะใจไม่แพ้กันเลย
แต่แม้ว่ากลวิธีที่แต่ละคนเลือกใช้มาแก้แค้นในหนังทั้ง 3 เรื่องจะดูแล้วชวนเสียวไส้ หรือหดหู่ใจมากแค่ไหน ก็น่าแปลกใจที่หนังไม่โฉ่งฉ่าง ไม่เอะอะมะเทิ่ง ไม่โหวกเหวกโวยวาย…คล้ายๆ กับการเชือดนิ่มๆ เหมือนสัตว์ใหญ่ที่ใจเย็นยามที่จะขย้ำกระต่ายตัวน้อยๆ ที่เพลิดเพลินใจอยู่ในดงหญ้า กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็โดนกลืนกินไปจนสิ้นเลือด หมดเนื้อไปทั้งร่างแล้ว อาจจะด้วยเพราะความเป็น ‘เอเชีย’ ที่มักจะก่อตัวในรูปของความนิ่ง ความสงบ มากกว่าที่จะแสดงออกมากมายเหมือนฝั่งตะวันตก มันคงเป็นความลึก-ลึกซึ้งอะไรบางอย่างที่เป็นกรรมพันธุ์ โชคดีที่เราเกิดมาแถบเดียวกันเราจึงเข้าถึง เข้าใจอารมณ์บางอย่างได้ดี
ประเด็นเกี่ยวกับความแค้น มันโดนใจเราไม่แพ้เรื่องความรัก เพราะมันใกล้ตัว เชื่อมั้ยใครๆ ก็ต้องเคยโกรธ และถึงขั้นเคยคิดแค้น บางคนอาจจะลงมือไปแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น เอาน้ำกรดมาสาดเพราะโดนแย่งสามี, เอามีดปาดคอเพราะแฟนนอกใจ, เผาบ้านเพราะโดนโกง หรือวางระเบิดทุกวี่ทุกวันเพราะคิดว่าไม่มีความยุติธรรมบนโลกใบนี้แล้ว เป็นต้น แต่ใครจะรู้บ้างว่าระดับความแค้นแค่ไหน จึงจะพอเหมาะพอเจาะให้เราออกไปแก้แค้น
มันต้องมากแค่ไหน ต้องโกรธจัดมากเท่าใด ความเสียหายรุนแรงยังไง มันไม่มีมาตรวัดว่า…เอาหล่ะ ความแค้นที่คุณสะสมไว้มันถึงขีดแล้วที่คุณต้องออกไปจัดการกับคนที่ทำให้คุณเดือดร้อน หรือช้าก่อน ยังไม่ถึงเวลา บ่มเพาะมันเอาไว้สัก 3 ปีมันจะดีที่สุด…
ไม่มีหรอก, คนเรามีสติปัญญา และความสามารถในการควบคุมอารมณ์ได้ไม่เท่ากัน ซึ่งมันก็ขึ้นอยูกับปัจจัยต่างๆ ทั้งการเลี้ยงดูจากครอบครัว หรือการศึกษา เป็นต้น แม้ว่าจะเจอสถานการณ์เดียวกัน เรายังจัดการแก้ไขปัญหาได้ไม่เหมือนกันเลย นับประสาอะไรกับการควบคุมระดับความแค้นเคืองใจ กับบางเรื่องเราคิดว่ามันเล็กน้อย ปล่อยได้ก็ปล่อย ละได้ก็วางไว้ แต่บางคนถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ยอมไม่ได้ หรือแม้จะให้ตัวบทกฎหมายเข้ามาจัดการ ความสาแก่ใจ ความคุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไปก็ยังไม่คืนกลับ ยิ่งถ้าคนที่เป็นฝ่ายโดนกระทำอยู่ตลอดลุกฮือขึ้นมาหาญสู้ ความแค้นนั้นอาจจะคูณสอง…ความแค้นจึงเป็นเรื่องของความคับข้องใจ การอัดอั้นตันใจ ความไม่พอใจในสิ่งที่ได้รับ เมื่อหาทางเอาคืนในแบบถูกกฎหมายและถูกทำนองคลองธรรมไม่ได้, แม้จะรู้ แต่หลายๆ คนก็ยังเลือกที่จะทำ บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีอะไรจะเสีย หรือจนตรอกแล้ว
บางคนใจเย็น รอได้ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ แก้แค้นทีละนิด ทีละหน่อย เพราะความทุกข์ทรมาณแบบค่อยเป็นค่อยไป มันน่ารื่นรมย์กว่าการถือปืนออกมายิงโป้งเดียวจบเป็นไหนๆ…อาจเป็น 3 เดือน อาจเป็น 2 ปี หรืออาจยาวนานเป็นสิบๆ ปี จนกว่าจะได้เห็นความเสียหาย ความพินาศ หรือการดับสูญของชีวิตคนที่เราคั่งแค้น นั่นแหล่ะ เส้นทางโคจรของความแค้นจึงจบสิ้น
ว่าแต่…แค่เพราะอีกฝ่ายดับ ล้มหายตายจาก เราก็ปลดปล่อยอารมณ์แค้นได้จริงหรือ?
ถ้าใครที่ดูหนัง 3 เรื่องนี้จบ หรือเพียงแค่เคยโกรธแค้นใครมากๆ มาก่อน น่าจะรู้ดีกว่า ความแค้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับมนุษย์ มันมีเกิด มันมีแก่ มันมีเจ็บ มันมีตาย…และมันจะกลับมาเกิดใหม่ วนเวียนไปเป็นวัฏจักรอันน่าเศร้านี้ไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
เราแค้นคนที่ทำให้เราแค้น, เราแก้แค้น
คนที่เกี่ยวข้องกับคนที่เราแก้แค้น, ก็แค้นเรา
คนที่เกี่ยวข้องกับเราก็แค้นคนที่เกี่ยวข้องกับคนที่เราแก้แค้น, พวกเขาแค้น
มันต่อเนื่อง มันไปได้เรื่อยๆ ถ้าตราบใดที่ยังยึดถือคำว่า “แค้นต้องชำระ” เป็นสรณะ
มักมีคำพูดที่ว่า “ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว” เข้าหูเราอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากหนัง 3 เรื่องนี้จะโคตรสนุก มันมาก สะใจสุดๆ และทำให้อึ้งแล้ว เราก็กลับมานั่งคิดถึงตัวเอง แถมยังคิดเผื่อไปถึงผู้คนรอบด้าน และสถานการณ์ เหตุการณ์บ้านเมืองของเราในปัจจุบัน…
เห็นแล้วก็สรุปเอาสั้นๆ ว่า “แค้นกันไม่เลิก”