Have nice Friday

สวัสดีค่ำวันศุกร์นะชาวบล็อก

จะไปไหน ไปทำอะไร ไปกับใครก็ขอให้อิ่มสุขกันถ้วนหน้า ส่วนเราก็มีโปรแกรมเล็กๆ ให้กับตัวเอง กำลังจะออกไปดูหนังที่เฮ้าส์ เรื่อง Hula Girl จากนั้นก็จะกลับไปนอนดู DVD คอนเสิร์ตเจนนิเฟอร์ คิ้ม เราเพิ่งไปสอยมาเมื่อเช้า หลังจากที่เมื่อคืนเปิดไปเจอโฆษณาโดยบังเอิญ แล้วถูกใจมากๆ

     วันจันทร์จะกลับมาเล่าให้ฟังทั้งหนัง และทั้งคอนเสิร์ต Happy with myself!!!

พอได้แล้วมั้ง…ตั้งสติหน่อย

     เมื่อคืนเวลา 23.00 น. เราเพิ่งนึกออกว่าลืมกุญแจห้องไว้ที่ทำงาน ซึ่งเรายืนอยู่หน้าอพาร์ตเม้นท์แล้ว และกำลังซื้อข้าวปลาเพื่อเอาขึ้นไปกินบนห้อง ด้วยสภาพโทรมเหงื่อในชุดตีแบดฯ พร้อมด้วยอุปกรณ์ ข้าวของพะรุงพะรังทั้งหลายแหล่ โทรหาใครต่อใครเผื่อว่าจะยังมีคนนั่งทำงานอยู่ จะได้ขอร้องให้ติดกุญแจมาให้เราด้วย แต่เวลาแบบนั้นใครจะยังอยู่รอเราล่ะ สุดท้ายเราก็หอบข้าวของขึ้นรถแท็กซี่กลับมาที่ตึกอีกครั้ง ทั้งที่ออกมานานเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว

     อ่านจบวรรคข้างบน หลายๆ คนอาจจะไม่รู้สึกอะไรสักนิด เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ไอ้การลืมของ หรือการเป็นคนขี้ลืมเนี่ย ใช่…มันควรจะเป็นแค่เรื่องธรรมดาถ้าครั้งนี้มันจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกกับเรา แต่เผอิญว่าเหตุการณ์แบบเมื่อคืนมันเหมือนหนังเรื่องเก่าที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบๆ ครั้ง เหมือนเราระลึกชาติได้ จำได้เป๊ะๆ ทุกขั้น ทุกตอน แต่เรากลับปล่อยให้มันเกิดซ้ำซากอยู่ได้

     เมื่อวานเป็นครั้งที่สองในสัปดาห์นี้ ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันเราก็ลืมกุญแจไว้ที่เดิม โชคดีที่เราแว่บไปทำธุระแถว RCA และนึกออกภายในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เราโทรไปบอกให้เพื่อนที่ทำงานนั่งรถมอเตอร์ไซต์เอามาให้เราทันท่วงที

     ครั้งแรกที่เราลืมกุญแจห้อง คือ เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังเรายังเช่าห้องอยู่กับญาติผู้น้องคนนึง เวลาเราลืมขึ้นมาเลยไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนั่งแกร่วอยู่แถวที่พักเพื่อรอน้องกลับมา แต่มีอยู่วันนึงที่น้องต้องกลับบ้านต่างจังหวัด เราลืมกุญแจไว้ในห้อง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ยืนค้นกระเป๋าอยู่หน้าห้องตัวเอง แล้วเหตุการณ์ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงก็เกิดขึ้น ให้คนที่อพาร์ตเม้นท์มาช่วยบ้าง ให้คนข้างห้องมาช่วยบ้าง ออกไปตามช่างกุญแจมาคลี่คลาย หมดเวลาเพราะความงี่เง่า ขี้ลืมของเราไป 3 ชั่วโมง

     หลังจากครั้งนั้น เรากลายเป็นโรคระแวงเล็กๆ คอยตบกระเป๋าก่อนออกจากห้องบ้าง นั่งเปิดกระเป๋าก่อนกลับบ้านเพื่อเช็คว่ากุญแจมันมีจริงหรือเปล่า เป็นอย่างนั้นอยู่สักพัก ระมัดระวังตัวอยู่ไม่นาน เหตุการณ์เดิมๆ ก็กลับเข้าสู่วงจรของมันนับสิบครั้ง

     หงุดหงิดใจกับเรื่องอะไรแบบนี้ และได้พยายามที่จะป้องกันให้มันเกิดน้อยที่สุด ล่าสุด เราจัดการแยกกุญแจห้อง กับกุญแจโต๊ะทำงานออกจากกัน เมื่อทำได้ดีแล้วก็ลำพองใจ เอามันทั้งสองมาไว้พวงเดียวกันเหมือนเดิม จนมันเกิดเหตุการณ์สองครั้งติดอย่างที่เล่าให้ฟัง

     ไม่เอาแล้วหล่ะ ทนตัวเองไม่ไหวแล้ว คิดว่าเราควรจัดการเรื่องนี้ให้มันจริงจังเสียที ตั้งสติกับเรื่องขี้ประติ๋วได้แล้ว เราตั้งใจว่าจะไปปั๊มกุญแจสัก 5-6 ชุด แล้วจะเอาติดกระเป๋าใบที่ใช้บ่อยๆ ไว้สัก 3-4 ใบ, เอาไว้ที่ออฟฟิศอีกสักชุดเผื่อเราลืมเอามาจากบ้าย และที่เหลือจะฝากคนรู้จักที่บ้านอยู่ใกล้กันไว้ด้วย

     ถ้าเรื่องเล็กๆ อย่างกุญแจบ้านเรายังทำไม่ได้ แล้วเรายังจะเหลือสติของเราไปจัดการเรื่องใหญ่ๆ เรื่องสำคัญกว่านี้ได้ยังไง…

รองเท้าคู่นั้นที่ไม่มีวันได้ใส่

     มีรองเท้าบางคู่ที่ไปเจอมาแล้วชอบมากๆ เรียกว่าถูกใจเป็นที่สุด มันโดนตาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลอง แค่มองเห็นก็อยากจะเป็นเจ้าของมันแล้วหล่ะ คิดเอาไว้ว่าถ้าเราได้ใส่มันไปไหนต่อไปไหนก็คงจะดี เพราะการจะเจอรองเท้าที่ถูกใจมันก็ไม่ง่ายนัก

     แต่การเจอรองเท้าที่ถูกใจจะไม่ง่ายแล้ว การจะเจอรองเท้าที่ถูกใจแล้วใส่ได้พอดีด้วยเนี่ยยากยิ่งกว่า เพราะทันทีที่ได้ลองสวมใส่ก็รู้เลยว่า มันหลวมไป ลำพังแค่ยืนใส่มันนิ่งๆ ก็ไม่พอดีสุดๆ แล้ว ตอนเดินยิ่งไปกันใหญ่ รองเท้าแทบจะหลุดออกมาในก้าวแรกที่เรายกขา

     เสียใจและเสียดาย…แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็เราใส่มันไม่ได้เองนี่นา พูดง่ายๆ ว่าไอ้รองเท้าคู่นั้นมันไม่ได้ถูกทำมาให้คนอย่างเราใส่ เพราะถ้าใช่มันคงใส่ได้แบบพอเหมาะ พอดี แต่นี่เราชอบมัน เราหลงรักมัน เราอยากครอบครองมัน แต่ดันมีคนอื่นที่ใส่ได้แบบพอดีเป๊ะ แถมยังเหมาะอีกต่างหาก

     แม้จะมีเงินจ่ายแต่ของบางอย่างก็ใช้เงินซื้อไม่ได้ หรือได้ลงทุนซื้อมาแล้ว อย่างมากก็เอามาเก็บไว้ในตู้ใส่รองเท้า บางวันก็เปิดมานั่งมอง แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้ารองเท้าไม่ได้เอามาไว้ใส่เดินสักครั้ง เคยนึกสงสารรองเท้าหรือเปล่าว่ามันจะรู้สึกยังไงที่ต้องอยู่แต่ในตู้

     บางคนพยายามมากกว่านั้น ด้วยการยัดกระดาษหรือหาอะไรมาเสริมเพื่อเพิ่มความพอดี แต่ระวังนะ ดีไม่ดีรองเท้าคู่นั้นมันจะแว้งมากัดเราได้ ทั้งๆ ที่เราพยายามจะใส่มัน พยายามจะเป็นมิตรกับมัน

     มันเป็นแค่รองเท้า…ที่แม้จะรู้สึกเสียดายเพียงใด แต่ไม่นานเราจะทำใจได้ แต่ถ้ามันคือ ความรัก คือ คนที่เรารักล่ะ เราจะเพียงแค่รู้สึกเสียดายหรือเปล่า? และเราจะใช้เวลาทำใจนานแค่ไหน? โดยเฉพาะในวันที่เราเห็นใครคนอื่นใส่รองเท้าคู่ที่เราหมายตาได้อย่างสวยงามกว่าเรา

Let’s talk about Love in Laos

กลับมาแล้วค่ะ!!!

dsc02499_resize_resize_resize.jpg

     สบายดี!!! รอดตายกลับมาแล้วพี่น้อง หลังจากที่เมื่อวานนอนตายอยู่ที่ห้องจนถึง 2 ทุ่ม ได้แต่นั่งถามตัวเองแบบมึนๆ ว่า “เราไปเที่ยวหรือไปทำงานก่อสร้าง” รู้สึกเหนื่อยแบบนึกไม่ออกว่าเพราะอะไร รู้สึกเพลียจนไม่อยากจะคิด รู้สึกปวดเมื่อยจนยกตัวเองจากเตียงไม่ไหว แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันถูกกลบลบล้างด้วยความรู้สึก ‘โหด มัน ฮา’ ไปจนสิ้น และแอบตั้งปณิธานไว้ในใจ “ลาว…เจอกันอีกแน่นอน”

หัวใจของคนชรา

     เพื่อร่วมทริปในครั้งนี้ ประกอบด้วยคณะบุคคล ทั้ง 6 อันได้แก่ )

dsc02527_resize_resize_resize.jpg

พี-คนต้นคิด และผู้ชักชวนสู่ลาว (อายุเฉียดเลข 3)

น้าปอย-ศิลปินที่ชอบเล่าเรื่องรัก (อายุนำด้วยเลข 3)

พี่หมู-นักธุรกิจที่เราไม่รู้จักมาก่อน (อายุนำด้วย..เอ่อ…ไม่บอกดีกว่า)

พี่เปิ้ล-นักการตลาดที่เราไม่รู้จักมาก่อน (อายุนำด้วยเลข 3)

น้องตั๊ด-ครีเอทีฟคนใหม่ในสนามหลวง (อายุนำด้วยเลข 2)

เรา-ผู้หญิงปากหมา หน้าตีน (อายุเฉียดเลข 3)

     เมื่อมาเฉลี่ยๆ ดูแล้ว ทริปนี้จึงจัดได้ว่าอายุไม่น้อยกันแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่กันพอสมควร (ต้องโทษพี่หมูคนเดียวที่ทำให้ค่าเฉลี่ยสูงปานนั้น) ดังนั้น เมื่อคนอายุเยอะมาเจอกัน เรื่องที่จะคุยคงหนีไม่พ้นเรื่องงาน อ๊ะ! ไม่ใช่แน่ๆ เราไปเที่ยว ไม่ควรจะงัดเรื่องพรรค์นั้นมาถกเถียง เรื่องที่คุยกันแล้วเข้าใจสากลมันต้องเป็น ‘ความรัก’ โดยเฉพาะคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ย่อมต้องมีประสบการณ์รักๆ มาเล่าสู่กันฟังแบบที่ว่า 3 วัน 3 คืนไม่จบ

     แล้วมันก็เป็นไปอย่างนั้นจริงๆ คล้ายกับว่าโชคชะพาดลบันดาลเราทั้ง 6 มาเจอกันโดยพร้อมเพรียง เพราะทุกคนต่างมีเรื่อง ‘รัก’ ล้นอก ล้นใจอยู่ไม่น้อย แต่โดยมาก ไม่ใช่ซิ แต่ทั้งหมดมันเป็นความรักในด้านมืด มันเป็นมุมที่ไม่สมหวัง ทุกคนผ่านจุดที่เรียกว่า ‘ผิดหวัง’ มาแล้วทั้งนั้น บางคนเจอหนัก และรุนแรงจนคิดว่านี่คือ ละครน้ำเน่าเรื่องนึง และเราแอบคิดไปว่าถ้ามันเกิดเรื่องแบบนี้กับเราบ้าง เราจะเป็นยังไง

     คนช้ำรักทั้ง 6 เลยได้แลกเปลี่ยนเรื่องราว และให้คำแนะนำกันไปตามยถากรรม อารมณ์เหมือนเตี้ยอุ้มค่อมปานนั้น เราเชื่อว่าทุกคนหวังดีต่อกัน อยากจะให้แต่ละคนได้พบเจอความสดใสของความรักเสียที แต่อย่างที่น้าปอยบอกว่า “ความรักของคนล้านคนไม่เหมือนกันเลย” ต่อให้เจอกรณีเดียวกันก็เถอะ ดังนั้นคำแนะนำต่างๆ ที่พวกเราได้พูดคุยกัน เราจะเก็บเอาไว้เป็นความประทับใจและเป็นบทเรียนส่วนตัว แต่ถามว่าจะนำไปใช้ได้หรือเปล่า ตัวเราเองเท่านั้นที่รู้ความจริง

ผิดเวลา

     ความตั้งใจหลายๆ อย่างที่เราคิดจะทำเมื่อไปเยือนลาว ต้องถูกเก็บเข้ากระเป๋าเมื่อเจออากาศที่ร้อนเหมือนลงนรก น้องๆ ที่ลาวบอกว่าอากาศไม่เคยร้อนแบบนี้มาก่อน เรามองหน้ากันแล้วก็สรุปว่าพวกเรานี่มันขึดจริงๆ ทุกอย่างเหมาะแล้ว แบบว่าถูกที่ ถูกคน แต่ผิดเวลา

     หลายๆ โปรแกรมที่น้องๆ อุตสาห์จัดเตรียมไว้พวกเราก็ขอยกเลิกหมด และจะเริ่มต้นทำทุกอย่างหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว น้องๆ พยักหน้าเข้าใจแต่โดยดี เลยพาพวกเราไปส่งที่โรงแรม หวังจะให้พวกเรานอนกินแอร์เย็นๆ อยู่ที่ห้อง หรืออาบน้ำอาบท่าให้สบายจิตใจ แต่พอคล้อยหลังน้อง เราก็คุยกันว่าใครจะทำอะไรบ้าง

     ตั๊ด บอกว่าจะเช่าจักรยานปั่นเล่นและจะไปหาที่เตะบอล ส่วนที่เหลือจะอยู่ที่โรงแรม แยกย้ายกันไปนวดบ้าง ไปอาบน้ำบ้าง ไปเดินเล่นบ้าง แต่เราไม่ไปไหนปักหลักนั่งกินเบียร์และเปิดอกคุยกับพี่เปิ้ลแบบ Girl Talk นั่งคุยกันไป จิบเบียร์กันไปตั้งแต่บ่ายประมาณบ่าย  3 ไปจนเกือบ 1 ทุ่ม!!! เบียร์ลาวตกถึงท้องเรานับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่หยุด เมื่อน้องๆ มารับไปกินข้าวเคล้าบรรยากาศลำน้ำโขง พวกเรากฌ็ซัดกันไม่เลิกแบบไม่ยอมกินข้าวกินปลา มีแต่พี่เปิ้ลคนเดียวที่แพ้ภัยอายุด้วยการหลับเป็นตายอยู่ที่ห้องจนถึงเช้า

     วันรุ่งขึ้นต้องเดินทางแบบคดเคี้ยวเพื่อมุ่งหน้าสู่วังเวียง เมืองตากอากาศที่มีคนบอกว่าเหมือนกับปายของบ้านเรา เราฝ่าโค้งแบบโนอ้วกมาได้ แต่ก็ต้องมาเจออากาศที่ร้อนจนตับสุกอีกจนได้ ไม่รู้จะทำยังไงเพราะแอร์ในห้องพักก็เย็นไม่สะใจ เลยได้แต่ก่นด่าตัวเองกันว่า “ผิดเวลาจริงๆ”

dsc02615_resize_resize_resize.jpg dsc02626_resize_resize_resize.jpg

dsc02770_resize_resize_resize.jpg

dsc02864_resize_resize_resize.jpg

ฝนซาฟ้าสวย

     แม้จะเดินทางมาด้วยหลายร้อยโค้ง อากาศก็ร้อนจัด แอร์ในห้องไม่เย็น จะดูพระอาทิตย์ตกดินก็โดนเมฆบัง แถมยังแฮ้งค์แล้วแฮ้งค์อีก แต่ในที่สุดเราก็โดนต้อนรับด้วยสายฝน ที่ตั้งเค้าเขียวครึ้มมาแต่ไกล อากาศที่ร้อนๆ อยู่ก็กลายเป็นเย็นชื่นใจ แต่เมื่อฝนตกแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พวกเราก็เริ่มคิดอีกรอบ เพราะค่ำนี้น้องๆ ได้ตระเตรียมบาร์บีคิวที่สนามหญ้าไว้ให้ ถ้าฝนไม่หยุด…เราก็แห้ว

     โชคยังไม่ร้ายเกินไป ฝนซาลงไม่นานก็หยุดนิ่ง แถมยังมีแสงสีส้มเรื่อๆ ที่ตรงขอบฟ้าให้เราได้ตื่นตา ประทับใจกันอีกด้วย แล้วสงครามบาร์บีคิวริมแม่น้ำซองก็เริ่มต้นขึ้นอย่างกันเองสุดๆ

dsc02878_resize_resize_resize.jpg

dsc02931_resize_resize_resize.jpg

dsc02924_resize_resize_resize.jpg dsc02966_resize_resize_resize.jpg dsc02969_resize_resize_resize.jpg

ปล่อยของ

dsc02753_resize_resize_resize.jpg

dsc03048_resize_resize_resize.jpg

     ปาร์ตี้บาร์บีคิวเมื่อคืน ทำเอาหลายคน ‘ปล่อยของ’ ออกมาอย่างไม่ออมแรง คนที่โอ้กอ้ากตั้งแต่เมื่อคืนก็โชคดีไป ส่วนคนที่ยังพะอืดพะอมอยู่ที่ดูท่าว่าคนที่อยู่ใกล้ๆ จะเดือดร้อน

     เมื่อรถตู้เริ่มเคลื่อนที่ออกจากที่พัก อาการเมาค้างของหลายๆ คนก็เริ่มออก มีการค้นกระเป๋าเพื่อหยิบยาดม ยาลม ยาหม่องมาทาถู ทาถู บ้างก็ร้องหาถุง บ้างก็หลับเป็นตายเพื่อหนีอาการเมารถ ในที่สุดหลังจากโดนเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวาอยู่หลายสิบโค้ง พีก็เริ่มส่งเสียง และปล่อยของเมื่อคืนออกมา พวกที่นั่งอยู่ในรถก้เกิดอาการอยากเลียนแบบบ้าง แต่ก็สะกดอดกลั้นเอาไว้ได้  แต่แล้วก็มีคนที่สองตามมาไม่ห่าง อ้วกเงียบๆ แบบดูแลตัวเองได้ แต่กลิ่นโหยหวนเหลือเกิน พวกเราต้องรีบเปิดกระจกรถเพื่อถ่ายเทอากาศ ไม่งั้นอ้วกกันทั้งรถแน่นอน

     เมื่อโทรถามรถอีกคันก็รู้ว่า มีมหกรรมปล่อยของแบบไม่แพ้คันเรา เหมือนๆ จะมีประชากรมากกว่าด้วย เราเลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมาเหล้า เมารถ หรือเมารักกันแน่ที่ทำให้เอาหารของเมื่อคืนถูกอัปเปหิออกจากท้องซะมากมายขนาดนี้

มิตรภาพไทย-ลาว 

     ถ้าใครมาถามเราว่า ไปลาวคราวนี้ได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง เราขอให้ตัดคำถามนั้นทิ้งไปเลย เพราะถ้าหวังจะได้คำตอบแบบละเอียดยิบว่าที่นั่นดี ที่นี่งามมาก ก็คงจะไม่ได้อะไรจากเราสักนิด

     เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแต่ละที่ที่น้องๆ พาไปมันชื่ออะไร มีความสำคัญยังไงบ้าง อาจจะด้วยเพราะระยะเวลาที่เราไปมันไม่นาน และที่สำคัญ ความสุขของพวกเราไม่ได้อยู่ที่การตระเวณไปที่ต่างๆ ให้ได้มากที่สุด แต่มันอยู่ที่เราทำอะไร และกับใครต่างหาก

     อาจเป็นโชคดีของพวกเรา ที่ได้รู้จักน้องๆ วง Cells  และพ้องเพื่อน ญาติมิตรของน้องๆ เค้าด้วย ทำให้เราได้รับการดูแล ต้อนรับเป็นอย่างดี เรารู้สึกประทับใจตั้งแต่ยังไม่เดินทาง เพราะน้องๆ หมั่นโทรมาสอบถาม และรายงานเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ

     ‘ใจ’ ของเจ้าบ้าน ทำให้ผู้มาเยือนอย่างพวกเราประทับใจ     

     ไว้จะกลับไปคุย ‘เรื่องรัก’ ที่ลาวอีกแน่นอน

dsc03043_resize_resize_resize.jpg

  

กระดิ่งนางฟ้า และคำสัญญาหน้าร้อน

“คุณลุงครับผมยังไม่รู้ชื่อคุณลุงเลย…ลุงชื่ออะไรครับ?”

“คิคุจิโร่…ไอ้เด็กบ้า”

he_kikujiro.jpg

     เมื่อคืนเราเอา Kikujiro มานั่งดูอีกรอบ ไม่รู้ใครเป็นเหมือนกันหรือเปล่า ทุกครั้งเวลามีเรื่องไม่สบายใจ ชอบขุดหนัง หรือหนังสือเก่าๆ ออกมานั่งดู นั่งอ่าน มันอาจจะเป็นเพราะของเก่าพวกนี้ทำให้เรารู้สึกคุ้นเคย คล้ายๆ กับเพื่อนเก่าที่ไม่ว่ายังไงมันก็จะนั่งอยู่ที่เดิม และให้เรารู้สึกสุขใจอะไรในแบบเดิมๆ ได้

     เราเคยดูเมื่อประมาณปีสองปีก่อน ใครคนนึงเอามาให้ยืมบอกว่าหนังสนุกมาก อยากให้ดู แล้วไม่รู้เพราะความบังเอิญหรือตั้งใจของใครคนนั้นกันแน่ เพราะช่วงนั้นเรากำลังมีทุกข์ใจอย่างหนักเรื่องครอบครัว ดูจบแล้วเราก็เขียนโปสการ์ดหรือโทรไปเล่าให้ใครคนนั้นฟังละมั้ง เขาถึงได้เขียนโปสการ์ดมาหา และอ้างถึงเรื่องราวในหนังเรื่อง Kikujiro ประมาณว่า แล้วความทุกข์มันก็จะถูกปัดเป่าไปได้ด้วยกระดิ่งของนางฟ้า การเดินทาง การได้ผจญภัยในหน้าร้อนของเด็กชายคนหนึ่ง แม้จะเสียน้ำตา แต่เขาจะเติบโตขึ้นแน่นอน

     เล่าให้ฟังสั้นๆ เผื่อใครยังไม่เคยดูก็จะได้กระตุ้นต่อมอยากดูกันไปซะ

     หลังเล่าเรื่องเด็กชายหน้าบื้อๆ คนนึงที่อาศัยอยู่กับยาย โดยเขามักมีคำถามที่เฝ้าถามยายอยู่เสมอมาว่า “พ่อไปไหน?” และ “แล้วแม่ล่ะ?” ซึ่งยายก็จะเล่าให้ฟัง แต่เราก็ไม่รู้ว่ายายเล่าเรื่องจริง หรือแค่เป็นเรื่องโกหกให้เด็กน้อยสบายใจกันแน่ ซึ่งไอ้เด็กนี่มันคาใจของมันมานาน จนวันหนึ่งดันเจอรูปถ่ายและที่อยู่ของแม่ เจ้าเด็กหน้าเบื่อโลกคนนี้ก็รีบเก็บข้าวของและเงินอันน้อยนิดเพื่อออกเดินทางไปหาแม่ที่เขาไม่เคยเห็นหน้า แต่เด็กตัวเล็กๆ จะเดินทางไปในที่ไกลๆ ได้ยังไง…การเดินทางไปตามหาแม่ของเด็กคนนี้จึงเริ่มต้น โดยมีเพื่อนร่วมทางเป็นนักเลงท่าทางกร่างๆ กวนตีนๆ และดูไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร

     หนังเก่าๆ แม้ว่าเราจะดูมาหลายรอบ เราก็ยังจะยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้กับฉากเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ยังไงยังงั้น

     เมื่อคืนเราก็ยังขำกับความกวนบาทา และหน้าอันตายๆ ของทั้งลุงและเด็ก ฮากับมุขซื่อๆ ทื่อ และซาบซึ้งใจกับมิตรภาพที่เด็กน้อยได้พบเจอระหว่างทาง แต่มีอยู่ฉากนึงที่ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยต้องเสียน้ำตาสักหยด ทำไมก็ไม่รู้เราดันร้องไห้อย่างหนักกับฉากเล็กๆ นั้น มันก็แค่เด็กชายวิ่งเข้าบ้าน แล้วเปิดฝาชีที่ยายครอบอาหารเย็นไว้ให้ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวคนเดียว กล้องถ่ายภาพจากข้างหลัง แค่ระยะเวลาไม่ถึงนาที…เราสะอื้นอยู่นานมาก

     อย่างหนึ่งของหนังที่ทำให้เรายังประทับใจอยู่ คือ เพลงประกอบ ดนตรีของหนังเรื่องนี้มันสวยงามมาก ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นฤดูร้อนและการเดินทาง ใครอยากฟังเชิญทดลองฟังได้ที่นี่ และได้โปรดถ้าใครเผอิญไปเที่ยวญี่ปุ่น กรุณาซื้อติดมือมาฝากด้วยนะคะ นี่คือรายละเอียดอัลบั้ม

Kikujiro No Natsu by Joe Hisaishi (1999)

 kikujiro.jpg beach-photo.jpg

     ก่อนเปิดเรียนฤดูร้อน เด็กชายก็มีการบ้านไปส่งครู โดยมีเรื่องราวการเดินทางของตัวเอง และผู้คนที่พบเจอระหว่างทางเป็นเนื้อหาหลัก แถมยังได้ปัดเป่าความทุกข์ใจของตัวเองออกไปด้วยส่วนหนึ่ง แม้ว่าตาลุงยากูซ่าจะบอกเอาไว้ว่าถ้าเมื่อใดมีความทุกข์ ให้สั่นกระดิ่ง แล้วนางฟ้าจะมาหา แม้จะเป็นแค่เด็กแต่เขาก็รู้ว่านางฟ้าไม่มีวันมาปรากฎตรงหน้า ต่อให้สั่นกระดิ่งเสียงดังหรือนานแค่ไหน และเด็กก็ไม่ได้ต้องการนางฟ้าองค์ใดๆ นอกจากใครสักคนที่คอยโอบอุ้ม ให้กำลังใจ และเข้าใจเขาบ้างสักคนก็พอ

     และมันก็ไม่ใช่แค่การเดินทางของเด็กน้อยเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็มีปัญหาง่ายๆ เหมือนกับเด็กนั่นแหล่ะ อีตาลุงหน้าตายคนนี้ ก็ได้ค้นพบเรื่องต่างๆ ของตัวเองเช่นกัน เขาเองเป็นคนไม่เอาถ่าน ทำตัวทุเรศไปวันๆ แต่เมื่อต้องมารับผิดชอบชีวิตเด็กคนนึง เขาก็ทำไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดล่วงหน้า ไม่ได้มีแผนการว่าจะจัดการอะไร แต่เด็กตัวเล็กๆ คนนี้ทำให้เขา ‘ได้’ อะไรบางอย่างในช่วงฤดูร้อนกลับมาด้วยเช่นกัน

leaf.jpg

kikujiro1.jpg sunflower-photo.jpg

     เราเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นเด็กคนนี้จะเป็น ‘เด็กดี’ อย่างที่ใครหลายๆ คนย้ำกับเขาหรือเปล่า แต่อย่างน้อยความทรงจำสั้นๆ ในหน้าร้อนฤดูนั้นจะยังอยู่ในใจเขาไปอีกนานแสนนาน

อวยพรให้เขามีความรักดีๆ เหอะ

วันนี้เป็นวันเกิดใครบางคน…

ขออวยพรให้มีความรัก เจอคนรักดีๆ

เราจะได้ตัดใจซะที!!!

strawberry_short_cake.jpg

26_1.jpg 22.jpg 55.jpg

pumpkin-cheesecake1500.jpg

อยากกิน cake อยากกิน pie

อยากกินแบบไม่ต้องรอโอกาส หรือรอใคร

เดี๋ยวจะไปกินสักวัน…จะกินให้หายอยากกินไปเลย

อยากกินก็กิน

อยากทำก็ทำ

เดี๋ยวเราก็ตายไม่ทันได้กิน ไม่ทันได้ทำ

จะรักใครก็ได้รักไปแล้ว

ไม่สมหวังไปแล้วด้วยเหมือนกัน

ตอนนี้จะตายก็ตายตาหลับแล้วหล่ะ

3 วันที่ผ่านไป…

อิจฉาแม่

     เมื่อวานค่ำๆ เราโทรไปหาแม่ หลังจากที่เมื่อราวๆ ต้นเดือนแม่โทรมาหาเพราะเห็นว่าเราหาย (หัว) ไปนาน นึกเป็นห่วงว่าเรายังหายใจและสบายดีหรือเปล่า เราเลยเกิดความรู้สึกผิดบาปในใจว่าเราละเลยและห่างเหินแม่มากเกินไปหน่อยแล้ว ตั้งใจว่าต่อไปจะโทรหาแม่ให้บ่อยขึ้นและจะพยายามกลับบ้านไปหาแม่ให้บ่อยขึ้นด้วย

     เสียงแม่สดใส คงเพราะสบายใจกับชีวิตใหม่ของตัวเอง คงกำลังสนุกและเห่อกับ ‘อะไรใหม่ๆ’ ผู้ฟังอย่างเราก็ได้แต่โล่งอก พลอยโล่งใจและสบายใจไปด้วยที่เห็นแม่กลับมายิ้มและความสุขในแบบที่ตัวเองอยากจะทำ อยากจะเป็นอีกครั้ง และก็แอบนึกอิจฉาแม่อยู่ในใจ แม่ช่างเป็นคนที่ปรับตัวได้ง่าย หาความสุขตามอัตภาพได้เรื่อยๆ ไม่เหมือนเราที่คิดอะไรมากมายเกินตัว เกินกำลัง ที่สำคัญแม่กำลังจะมี ‘บ้าน’ เป็นของตัวเองแล้ว ดีจังแฮะ ใครๆ ก็มีที่ทางเป็นของตัวเองทั้งนั้น

จะทำยังไงได้

     เจ็บจัง…เวลาที่เราต้องนั่งฟัง นั่งยิ้ม นั่งสนใจคนที่เราชอบพูดถึงคนอื่นๆ ที่เค้าชอบ เค้าสนใจ ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเป็นคนที่เค้าเคยชอบในอดีต คนที่เค้ากำลังนั่งมองขณะที่อยู่กับเรา และคนที่เค้าแอบคิดไปถึงในอนาคต ซึ่งเราก็ได้แต่นั่งฟังอย่างเดียว เราจะไปทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเรารัก เราชอบอยู่ฝ่ายเดียว ก็ต้องทำขำๆ ไปเรื่อยเหมือนไม่คิดอะไรเพราะเค้าจะไม่สบายใจซะเปล่าๆ

     แต่ทั้งที่บอกตัวเองมาแบบนั้น 3 ปีแล้ว…แต่ก็ยังรู้สึกจี๊ดๆ ทุกครั้งที่ได้ยิน จะว่าไปแล้วระยะเวลาที่ผ่านมาเรานึกถึงเพลง ‘วันที่หัวใจเคลื่อนไหว’ ของน้าปอยอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้น เราก็จะร้องเพลงนี้อยู่ในใจ ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าจะหยุดร้องเมื่อไหร่ บางทีอาจจะเป็นวันที่หัวใจดวงไหนเคลื่อนไหวก็ได้มั้ง

“เธอก็ยังเหมือนเดิมอย่างนั้น ไม่เคยจะมองหันมาที่ฉัน

นานเพียงไหน ไม่สั่นไหว ไม่รักกัน

ฉันก็ยังเหมือนเดิมอย่างนี้

ปักใจ ไม่เคยหันไปเสียที

นานเพียงไหน ใจดวงนี้มีแค่เธอ

คงสักวันที่เธอหันมองกลับมา

หรือเป็นฉันที่ใจยอมหันจากไป

ฉันจะรอสักวัน วันที่มีหัวใจดวงไหนเคลื่อนไหว

อาจเป็นใจเธอ

ที่แพ้ให้กับรักจริง แพ้ให้กับหัวใจที่รักเธอเสมอ

เราคงได้รู้สักวัน…”

ก็ดีเหมือนกัน

     บางครั้ง, เราก็ต้องทำอะไรที่ไม่ชอบบ้าง เพื่อเป็นการผ่อนปรน โอนอ่อนผ่อนตามกัน อย่าเรียกว่ามันเป็นการฝืนใจหรือฝนทนอะไรเลย ล่าสุดเราเองที่อยากลองทำอะไรที่ไม่ชอบดูบ้างซึ่งมันก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่หรอก

     เราตีตั๋วดูหนังกับเพื่อนที่นานๆ จะมีโอกาสดูหนังด้วยกันสักครั้ง ทั้งๆ ที่ก็เป็นเพื่อนที่เจอกันบ่อยๆ ไปเที่ยวกันก็หลายครั้ง แต่ดูหนังนี่แทบจะนับได้เลยมั้ง มันคงเป็นเพราะเราชอบดูหนังคนเดียวด้วย และที่มากกว่านั้น คือ ความชอบในประเภทของหนังมันต่างกัน

     เพื่อนบอกว่า Fantastic 4 ต้องไม่ใช่หนังที่เราจะต้องดูแน่ๆ เราหัวเราะและบอกว่าไม่เคยคิดจะดูเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่เราไม่ถูกโรคกับหนังแบบนี้ ดูแล้วไม่สนุก ไม่อิน เอาเป็นว่าหนังบางเรื่องบนโลกนี้มันก็มีบ้างที่จะไม่ถูกดูโดยเรา เพื่อนเลยบอกว่าไปดูหนังที่ลิโด้ก้ได้นะ เราบอกเพื่อนว่าถ้าอย่างนั้นที่เรานัดกันจะมีความหมายอะไร อุตสาห์ได้มาเจอกันแต่ต้องแยกโรงกันดู เราเลยจะขอดูเรื่องนี้ด้วยคน เพราะอยาก ‘ใช้เวลา’ อยู่กับคนอื่นบ้าง ดูหนังคนเดียวมามากพอแล้ว ซึ่งหนังมันก็ไม่เลวร้ายหรือแย่อะไร เราเองก็ดูไปเพลินๆ แหล่ะ แต่ถ้าจะต้องดูหนังแบบนี้อีกเราก็ไม่เอาหรอก…นาน น๊านดูทีมันถึงจะเวิร์ค

    

เหงารัก

     เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ดูหนังเป็นเอก ความรู้สึกมันจะค้างๆ คาๆ ใจอยู่หลายวัน แล้วก็จะเกิดอาการ ‘เหงารัก’ ขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ เหงาแบบที่ไม่รู้ว่ามันจะเหงาไปอีกนานแค่ไหน…เหงาถึงขนาดที่ว่าตอนนี้สามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้เลย

     หนังของเป็นเอกทุกเรื่องมักเป็นเรื่องของคนเมืองที่เคว้งคว้าง ขาดทักษะในการสัมพันธ์กับคนรอบข้าง อยู่กับตัวเองมากๆ ถ้าคนนอกมองเข้ามาคนพวกนี้อาจเป็นคนป่วย เรานั่งมองตัวเองทุกครั้งที่ดูหนังจบว่าเราเองก็ป่วยเหมือนกัน ป่วยเพราะเมืองมันใหญ่เกิน คนมันมากไป มากจนเราไม่รู้ว่าเราต้องอยู่ยังไงท่ามกลางอะไรแบบนั้น

     ความเหงามันไม่เท่ แต่มันเจ็บลึก เจ็บนาน บางครั้งความเหงาก็เข้าสู่กลางใจแม้ว่ารอบข้างกายเราจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาที่ส่งเสียงหัวเราะอยู่ เราไม่ได้อยากเท่ แต่เราเหงาบ่อยๆ ยิ่งเหงามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งหลบตัวเองเข้าไปลึกมากเท่านั้น

     วิธีบำบัดความเหงาของเรา คือ เราจะนั่งดูนั่งเหงาๆ ซ้ำไปซ้ำมา เหงายอกก็ต้องเอาเหงาบ่ง…

     เมื่อคืนรู้สึกไม่อิ่มกับ ‘พลอย’ เลย วันหยุดนี้ว่าจะไปดูอีกสักรอบ ให้ความเหงามันนิ่งๆ แล้วก็ค่อยๆ จมดิ่งสู่เบื้องล่างของใจ แล้วมันจะเกิดห้วงอารมณ์บางอย่างที่เรียกว่า ‘อิ่มเหงา’ ขึ้นมาแทนที่ ช่วงนั้นแหล่ะที่เราจะรู้สึกดีมากๆ กับความเหงา ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่ป่วย แต่ดื่มด่ำแบบที่ว่าหลงใหล และสุขใจกับมัน

วิธีสู่ความอร่อย

ขั้นที่ 1

1.jpg

มองหา ‘หญ้าอ่อน’ ที่ถูกตาต้องใจ แล้วทอดตัวลงไปอย่างไม่ต้องคิด

สังเกตว่าเขียวชอุ่ม อุดมสมบูรณ์น่ากินมั่กมาก

ขั้นที่ 2

2.jpg

สวาปามให้พุงกาง

หญ้าอ่อนๆ เคี้ยวง่าย…หอม

ขั้นที่ 3

3.jpg

หลังจากอิ่มหนำสำราญใจแล้ว

กรุณาเช็ดปากให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธดังเช่นรูปข้างต้น

Enjoy eating young grass