อาฟเตอร์สุข

31 ธันวาคม 2562

ปีนี้จะหมดอายุในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วเรายังสับสนอยู่เลยว่าปีนี้มัน 2561 หรือ 2562 จนต้องแหงนดูปฏิทินให้แน่ใจ ซึ่งพอแน่ใจแล้วเราต้องเปลี่ยนไปจำปี 2563 แทน

ยังมีชีวิตอยู่นะ

ขณะที่อัปบล็อกเรายังมีลมหายใจและยังต้องใช้ชีวิตต่อไปในปีหน้า นี่แหละเป้าหมาย (ทั้งของปีที่ผ่านๆ มาและปีต่อๆ ไป) ยิ่งโตยิ่งรู้ว่าแค่ใช้ชีวิตแต่ละวันช่างยากเหลือเกิน อยากไม่ยินร้ายยินดีให้เก่งกว่านี้ ไม่ใช่ว่าจะหนีทุกข์ ปฏิเสธสุข แต่ไม่อยากสุดกับความรู้สึกใดๆ พอสุขมากรู้สึกว่าเครียดที่จะต้องมาลุ้นว่าอะไรจะตามมา ไม่ได้กลัวความสุขนะ แต่ระแวงอาฟเตอร์สุข

ชีวิตตอนสุขน่ะมันดี เป็นความรู้สึกที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับไม่ว่ากับเรื่องในแง่มุมใด จากอะไรใหญ่หรือน้อยก็ตาม แต่ชีวิตหลังความสุขนี่แหละที่ทำให้เราอยู่ยาก ทั้งโหยหา ทั้งต้องการมากขึ้น ทั้งทำให้เราเกลียดกลัวความทุกข์มากขึ้น ทั้งที่จริงแล้วความทุกข์นี่แหละที่เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นผู้ทำให้เราเติบโต เราก้าวพลาดแต่เราก็ได้รู้ว่าก้าวแบบไหนถึงพลาด มันทำให้เราเจ็บ ทำให้เราปวด ขณะเดียวกันเราได้รู้ว่าอะไรที่ทำให้เราต้องทรมาณ หลายครั้งเราจึงจดจำทุกข์ เรื่องแย่ ความเศร้าได้แม่นกว่าเรื่องดีเสียอีก

ถึงจะทำเหมือนเข้าใจ แต่ถ้าเลือกได้ ไม่มีใครอยากทุกข์หรอกนะ อยากมีแค่วันธรรมดาที่ผ่านมาและผ่านไป ไม่ต้องมีอะไร เรื่องใดๆ ให้จำให้เก็บมากนักก็ได้ แค่อย่าทรมาณกันนักเลย

ไม่น่าเชื่อว่าอายุปูนนี้แล้วยังมีอุปสรรค เรื่องเศร้า ความทุกข์รูปแบบต่างๆ มาให้รับมืออยู่เลย แถมจัดการได้ไม่ดีเสียด้วย จะว่าไปพวกเราเหมือนตัวละครที่อยู่ในเกม ถูกกำหนดให้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นานาไม่หยุดยั้ง ผ่านด่านนี้ได้ เป็นผู้ชนะ แต่พักไม่ได้ ต้องเริ่มต้นใหม่ด่านแล้วด่านเล่า จนกว่าเกมจะจบ

คำว่า Game Over ขึ้นมาเมื่อไหร่หมายความว่าเราจะได้ไปพักแล้ว แบบนี้หรือเปล่านะ หลายๆ คนจึงเลือกที่จะไม่สู้ เลือกที่จะแพ้ (แม้แต่เราด้วย) เพราะรู้ว่าปลายทางมันจะเป็นแบบนี้

ว่าจะบันทึกไว้แบบไม่เครียดแต่เหมือนจะเครียดเชียว เอาเป็นว่าลาก่อนนะปีนี้ ขอต้อนรับปีหน้าที่ใกล้จะมาในอีกไม่กี่ชั่วโมง

Goodbye my 2019

41

ตอนช่วงอายุ 20-30 ปี นึกภาพไม่ออกและไม่รู้หรอกว่าตัวเราตอนถึงวัยเลข 4 นำหน้าจะเป็นอย่างไร จะทำอะไร จนกระทั่งผ่านเวลามาจนอายุ 40 จริงๆ ก็ยังคงมึนงงว่าเราคือใคร เรากำลังทำอะไรอยู่ และเราจะเป็นคนวัยกลางคนอย่างไรดี

มองตัวเองทั้งที่ผ่านมาและที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่มีอะไรแตกต่างนัก แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างแปรเปลี่ยนไป เราคงเป็นเรา เป็นเราที่คงความแน่นิ่งที่ไม่ใช่สงบนิ่ง เป็นมนุษย์ขี้แพ้ที่ไม่พยายามลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อผ่านจุดนี้ ยอมรับสภาพแม้ไม่ชอบใจ ความรู้สึกไม่ทำให้อะไรเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงถ้าเราไม่ลงมือทำ

เราปล่อยผ่าน เราเพิกเฉย เรายืนมอง แล้วเอาแต่ก่นด่าโทษดินฟ้าชะตาชีวิต รวมถึงโทษตัวเองที่เป็นคนแบบนี้ บ่อยครั้งที่อยากให้ชีวิตมีปุ่มรีสตาร์ตเพื่อที่เราจะได้เริ่มใหม่ทุกๆ รายละเอียด แต่อย่างที่รู้กันมันไม่เคยมี

ชีวิตจากวันนี้จะเป็นอย่างไรไม่รู้แต่พอดูออก เอาเป็นว่าปีนี้ยังมีชีวิตอยู่ แค่ใช้มันต่อไปละกัน

 

40 ยังไม่หาย

อีกไม่กี่วันจะอายุ 41 ปีบริบูรณ์                                แต่ชีวิตยังลุ่มๆ ดอนๆ ไม่เฉียดใกล้รัศมีความสมบูรณ์พูนสุขใดๆ เหมือนที่เป็นมาและจะเป็นไป

มาไกลแล้วเนอะ                                                      40 ปีมันเกินครึ่งชีวิตละ จากนี้คงเข้าสู่ช่วงท้ายๆ ของชีวิตเสียที ไม่ปรารถนาให้มันยืนนานหรือยาวไกลเลย แต่รู้ว่ามันจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกระยะใหญ่ๆ

หมดความฝัน ไม่มีเป้าหมายมาหลายปี                    อาจจะเรียกได้ว่าสิ้นหวัง หมดหวังทำนองนั้น คล้ายกับว่าความสุขไม่มีอยู่จริง ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ยิ้มอยู่ดีๆ กลับเศร้าและโดดเดี่ยว สับสนสลับไปมา มีหลอกตัวเอง หลอกคนอื่นกลบเกลื่อนภาวะข้างในใจบ่อยๆ ด้วยการปรากฏของภาพถ่ายในสื่อโซเชียล อาจเป็นการเยียวยาอย่างหนึ่งก็เป็นได้

ไม่รู้จะอวยพรอะไรให้ตัวเอง ได้แต่หลั่งน้ำตาแล้วหวังลมๆ แล้งๆ ว่าอะไรๆ น่าจะดีขึ้น เอาจริงๆ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคงเป็นตื่นมาแล้วหายไป

 

ล่ม

ระบบนาฬิกาชีวิตของเราล่มในช่วงครึ่งปีหลัง เหมือนไตรมาสแรกของปียังดีๆ อยู่ นั่นคือ ตื่นเช้า ออกไปวิ่ง กินข้าวตรงเวลาครบ 3 มื้อ การขับถ่ายปกติ บอดี้เวท นอนเร็วถึงจะไม่ได้คุมอาหารแต่โดยรวมถือว่าดี

แต่หลังจากที่วิ่งสะดุดจนหกล้ม เข่าเป็นแผลทำให้ต้องหยุดวิ่งไปพักใหญ่ พอเข่าหายดีตัวเราดันเริ่มขี้เกียจ บวกดับหน้าฝนที่เริ่มขึ้น ทำให้เรากลับมานอนดึกมากและตื่นสายมากอีกครั้ง แน่นอนว่ากว่าจะได้กินข้าวมือแรกก็ปาไปเที่ยง กลายเป็นกินข้าวแค่วันละ 2 มื้อ ไม่ได้วิ่ง ไม่ไดเออกกำลังกาย แม้ระบบขับถ่ายจะยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่โดยรวมแล้วเราไม่ค่อยชอบใจกับวงจรชีวิตที่หนึ่งวันมันสั้นกว่าคนอื่น

พยายามเข้านอนเร็ว พยายามนอนให้หลับ เป็นสิ่งที่ยากเหลือเกิน หวังว่าจะทำได้ในไม่ช้า เราคิดว่าอย่างน้อยถ้าการงานการเงินไม่ดีหรือชีวิตจะบัดซบแค่ไหน ขอให้ชีวิตเบื้องต้นเราปกติเถอะ

ขอให้นาฬิกาชีวิตที่ปกติจงกลับคืนมา

หลง

การหลงทิศหลงทางเป็นเรื่องที่เกิดกับเราอยู่เสมอ        อ่านแผนที่ไม่เก่ง งงทิศ และความจำเรื่องตัวเลขทำให้เราป้ำเป๋อและสับสนข้อมูลอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเดินทางไม่ว่าท่องเที่ยว หรือทำงาน

วิธีแก้ปัญหาของเราคือ เตรียมตัวก่อนเดินทาง              ในสายตาคนอื่นเราดูเว่อร์วังกับการ ‘เผื่อ’ เอามากๆ เป็นคนเผื่อเวลาไว้พอสมควรโดยเฉพาะถ้าไม่คุ้นกับเส้นทางและสถานที่ แถมสอบถามการเดินทางจากหลายๆ แหล่งเพื่อให้ตัวเองมั่นใจว่าจะไม่หลง ไม่เสียเวลา

แม้เตรียมพร้อมแค่ไหน                                             แต่ถ้าเราไปแปลกถิ่นแปลกที่ โดยเฉพาะแปลกภาษาขึ้นล่ะก็นะ การหลงทางมันเกิดขึ้นได้แบบไม่ต้องแปลกใจเลย

ถ้าเอาตัวอย่างที่ชัดเจนและเราจดจำมากๆ คือตอนที่ไปเที่ยวเมืองจีนนั่นแหละ ไปผิดหมู่บ้านเลย ซึ่งว่ากันตามจริงมันไม่ใช่ความผิดของเรา แต่มันเป็นความเข้าใจผิดที่เกิดจากความเชื่อใจคนขายตั๋วที่สถานนีขนส่งเล็กๆ แห่งหนึ่งมากกว่า (หรือเป็นความจงใจของเขาก็เป็นได้)

เราได้รับการบอกกล่าวว่า รถคันที่จอดอยู่ ที่เขาชี้มือไปน่ะคือรถประจำทางที่จะไปหมู่บ้านที่เราอยากไป เราลังเลเพราะไม่เหมือนในรูปที่เคยเห็นในรีวิวท่องเที่ยว แต่การย้ำๆ ของคนขายตั๋วบวกกับการสื่อสารที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้เรื่อง แถมป้ายบนรถมินิบัสคันนั้นไม่มีตัวอักษรที่เราอ่านออกเลย แม้จะเคยไปเรียนภาษาจีนกลางอยู่ 1 เทอม (เรียนแบบโดดบ้าง ขี้เกียจบ้าง จนได้ D+ มาประดับทรานสคริปต์) เรากับคนที่ไปด้วยเลยขนสัมภาระขึ้นรถ

การเดินทางสู่จุดหมายจึงเริ่มต้น                                  ผิดแต่ว่ามันไม่ใช่ปลายทางที่เราหมายมุ่ง แม้เราจะเพลิดเพลินบันเทิงใจกับทิวทัศน์มาตลอดเส้นทาง แต่เมื่อเห็นป้ายทางเข้าหมู่บ้านแล้วต้องเอ๊ะ มันไม่ใช่ว่ะ ไม่ใช่อย่างที่นึกสงสัยจริงๆ ด้วย แต่ทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะไม่รู้จะสื่อสารกับใครได้ สิ่งที่ทำได้คือแบกเป้เดินเข้าหมู่บ้านแล้วหาที่พัก

FB_IMG_1569502423814

ระยะเวลาแค่ 1 คืนกลายเป็นน้อยไปสำหรับการนั่งรถหลงเข้ามาในหมู่บ้านที่เราไม่เคยได้ยินชื่อในรีวิว มันเป็นหมู่บ้านในหุบเขาที่คงไม่ต่างจากหมู่บ้านที่เราอยากไป แต่เชื่อว่าความสงบเงียบที่นี่คงมีมากกว่า มันคล้ายภาพวาดที่เราไม่คิดว่าตัวเราจะได้เข้ามาสัมผัสกับฉากทิวทัศน์แบบนี้ ภูเขาหลายลูกโอบล้อมหมู่บ้านเอาไว้ มีลำธารไหลผ่านใจกลางหมู่บ้าน อากาศเย็นสบายแต่หนาวเยือกสู่กระดูกในตอนดึก น้ำเย็นเฉียบแม้เพิ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ความขจีของต้นไม้และต้นข้าว บ้านทุกหลังที่เหมือนกัน ที่พักราคาย่อมเยาว์ อาหารร้อนๆ รสชาติถูกปากราคาไม่แพง

ไม่มีอะไรที่เราจะไม่ประทับใจ                                   เป็นการหลงทางที่เราหลงรักและไม่เคยนึกเสียใจหรือเสียดายเลยที่มันไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้

ทริปไปเมืองจีนครั้งแรกมีเรื่องผิดพลาด ผิดแผนเยอะเลย แต่เป็นทริปที่สนุกและเราชอบมากๆ เวลานึกถึงมีแต่เรื่องตลกๆ สนุกสนาน ขำขัน และความทรงจำที่ดี

การหลงทางจะสนุกถ้าเราร่วมผจญภัยไปกับคนที่ทำให้เราอุ่นใจ การหลงทางคนเดียวหรือการหลงทางไปในที่ที่ไม่ปลอดภัย ผลลัพธ์จบไม่สวยแบบนี้มันคงเป็นเรื่องเล่าอีกแบบที่คงไม่ต่างจากชีวิตเราทุกวันนี้

ชีวิตเราหลงทางมาตลอด                                        เซนส์เรื่องการตัดสินใจ เรื่องการเลือกเส้นทางของเราห่วยเสมอต้นเสมอปลาย เราเชื่อว่ามันจะจบไม่สวยหรอก แต่เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว หรือเอาจริงๆ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้นะ คนห่วยมันย่อมเป็นคนห่วยวันยังค่ำแหละ เราคงเลือกแบบเดิม

คนหลงผิดคือคนหลงผิด                                        ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เลย แปลกใจตัวเองอย่างหนึ่ง ทำไมเราไม่เตรียมความพร้อมของชีวิตให้มากพอๆ กับการเตรียมความพร้อมเวลาไปเที่ยวนะ

 

กลับมางง

การเขียนบันทึกและการอัปบล็อกเหมือนตายจากชีวิตเราไปแล้ว แต่อยู่ๆ เราก็กลับเข้ามาในวงจรการพิมพ์บันทึกอีกครั้ง หรือจะเรียกว่าดึงมันกลับมาในชีวิตเราก็ไม่รู้

เปลี่ยนรหัสผ่านอันดับแรก โลกดิจิทัลทำให้เราเสื่อมประสิทธิภาพด้านการจดจำอย่างรุนแรง อายุก็มีส่วน และความที่เราเพิกเฉยต่อมันนี่แหละ ทำให้เราจำรหัสผ่านไม่ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องอะไรร้ายแรง ถ้าลืมก็แค่สร้างความทรงจำใหม่ (เพื่อที่จะลืมมันต่อไป)

เป็นครั้งแรกที่ต้องมาค่อยๆ จิ้มอักษรทีละตัวบนแป้นมือถือ จากที่ผ่านมาพิมพ์บนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ซึ่งแน่นอนว่าทำในมือถือมันช้า แต่ ณ เวลานี้คงสะดวกที่สุดแล้ว

ชีวิตของเราที่นับถอยหลังสู่วัย 41 บางทีมันเหมือนการเดินถอยหลังลงทะเลกลายๆ จะว่าไม่รู้ตัวก็ไม่ใช่ รับรู้แต่ไม่จัดการ มองเห็นแต่ไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายเราเองจะค่อยๆ จมลงไปจนมิดเส้นผมที่ไม่ว่าใครก็ช่วยไม่ได้ถ้าเราไม่พยายามช่วยเหลือตัวเองให้รอดก่อน เผลอๆ จะพาคนอื่นจมไปด้วย

30 ธันวาคม

จวนเจียนจะผลัดปีและเกือบๆ จะไม่ได้เขียนบล็อกส่งท้ายปี
คิดไม่ออกว่าจะสรุปเรื่องราวของปีนี้ยังไง ทั้งด้วยเหตุผลที่ว่าชีวิตเรามันเดิมๆ ไม่มีเรื่องขึ้นสุดลงสุดให้ระลึกนึกย้อน การปล่อยผ่านก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้จดจำอะไรไม่ค่อยได้ จะค่อยๆ นึก ค่อยๆ บันทึกไปละกัน

ปีที่ผ่านไปเร็ว
เราว่าปีนี้ผ่านไปรวดเร็วซึ่งก็ดีแล้ว มันผ่านไปชนิดที่เหมือนเวลาทะลุผ่านร่างเราไป หลายคนบอกว่าถ้ามีความสุขจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไว แต่เราคิดว่าไม่ใช่ความสุขหรอกที่ทำให้ปีนี้ของเราไหลไปอย่างไม่อ้อยอิ่ง น่าจะเป็นเพราะเราไม่ได้สนใจที่จะรอคอยหรือคาดหวังอะไรกับชีวิตแล้วต่างหาก รู้แค่ตื่นมาทำอย่างนี้ ก่อนนอนทำอย่างนี้ มันหมดวันอย่างเร็วเหลือเกิน

ไม่ได้ปิดเฟซบุ๊ก
จริงๆ มีหลายครั้งที่อยากปิดเฟซบุ๊กแล้วหายๆ ไป แต่ทำไม่ได้ด้วยเหตุผลบางอย่างที่่จะเล่าให้ฟังทีหลัง เมื่อไม่ได้ปิดก็เลือกที่ปิดซ่อนการมองเห็นเรื่องราวของหลายๆ คน อาจจะไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้นมากนักแต่พอจะลดความหงุดหงิด กดดันตัวเองได้ค่อนข้างดี

ช่างเขา
รู้สึกว่าสนใจสิ่งที่คนอื่นคิดกับตัวเราน้อยลง ใช้คำว่าช่างแม่ง ช่างมัน ช่างเขาได้เก่งขึ้น เรียกว่าใส่ใจเรื่องเพื่อน คนรอบตัวน้อยลงไหม ขอใช้คำว่าพยายามที่จะไม่สนใจคนที่ไม่สนใจเราหรือไม่มีผลต่อชีวิตเราก็แล้วกันนะ เมื่อก่อนมักจะคิดว่าคนนี้จะคิดกับเรายังไง จะรู้สึกแบบไหนกับเราจนเหนื่อย เครียด กดดัน แต่ปีนี้คือ…เออ แล้วไงล่ะ ช่าง!

จิตล่ม
มีช่วงวิกฤตใจอยู่บ่อยครั้ง แต่มีครั้งหนึ่งที่รุนแรงเรื้อรังถึงขั้นจิตวิญญาณชำรุด ไม่อยากอยู่ เกลียดตัวเอง เบื่อ เหนื่อย หมดพลัง หมดทุกอย่าง คิดว่ามันยังไม่หายขาดแค่ทุเลา แต่มีบางอย่างที่เยียวยาให้แต่ละวันผ่านพ้นไปได้

ติ่ง
กลายร่างเป็นแฟนคลับศิลปินมาราวๆ 8-9 เดือน เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตในวัยที่เกือบหลัก 4 มีความจริงจังในการติ่ง มีความสุขในโลกของติ่ง ได้พูดคุยกับคนที่สนใจคนเดียวกัน ได้ถอยห่างจากเฟซบุ๊กเพราะติดทวิตเตอร์ยิ่งกว่าเก่า และนี่คือเหตุผลที่ยังปิดเฟซบุ๊กไม่ได้ เอาไว้รอดูไลฟ์นั่นเอง การได้ติดตาม สนับสนุนศิลปินคนนี้เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจให้ชุ่มชื่น ทำให้ชีวิตสดใส มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเพราะคนๆ นี้ มันคือสิ่งดีงามของชีวิตเราในปีนี้เลย เป็นยาที่เราเสพเพื่อผ่านพ้นแต่ละวัน

ห่างหมอ
การกินยาสัปดาห์ละ 3 เม็ดต่อเนื่องทำให้รูมาตอยด์ไม่ค่อยแผลงฤทธิ์ ทำให้หมอบอกว่าควรจะพบกันแค่ปีละ 2 ครั้งก็พอ จากเดิม 3-4 เดือนครั้ง ล่าสุดหมอบอกว่า 5-6 เดือนค่อยเจอกันที หมอเกริ่นๆ ว่าผลเลือดดีมากบางคนถึงกับหายขาด เราไม่ได้หวังสูงหวังไกล แค่มันไม่ทำให้เราเจ็บปวดทรมาณก็พอใจแล้ว

ไปไหนต่อไหน
เหมือนจะเงียบๆ เก็บตัวเก็บใจแต่มีโอกาสได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ปีนี้ไปไต้หวัน (พรุ่งนี้กำลังจะเป็นครั้งที่ 2) และไปมัณฑะเลย์มาด้วย ขอบคุณใครบ้างคนที่เปิดโอกาส ชักชวนและสนับสนุนอย่างดี

39 สุดท้าย
ปีหน้าอายุจะเข้าเลข 4 แล้ว ไม่ตื่นเต้นอะไร แค่รู้สึกว่าเออมาไกลแล้ว อยากพอแล้วได้ไหม

หนี้
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลของการมีชีวิตอยู่

 

 

บ๊ายบายปี 2560
คิดว่าคงได้พบกันใหม่ปีหน้า 🙂

39

วันเปลี่ยนอายุมาถึงอีกครั้ง
ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนไปมากมายนักจากปีที่แล้ว
ยังคงพาตัวเองไปในจุดวิกฤตเรื่อยๆ อย่างที่ไม่คิดจะแก้ไขอะไร

จะ 37, 38, 39 หรือ 40 คงไม่ต่างกัน
เพราะถ้าไม่ใส่ใจกระดุมที่ติดผิดตั้งแต่เม็ดแรก คงไม่มีอะไรต้องพูด

ชีวิตตอนนี้คืออยู่ไปเพราะยังได้อยู่
ต้องอยู่เพราะยังไม่ได้ไป
มันไม่ได้มีความหมายหรือความสวยงามอะไรให้ค้นหาหรือเฝ้ามอง

พรจากใครๆ คงไม่มีผลเท่าพรจากตัวเอง
พรจากตัวเองกี่ล้านพรคงไม่มีผลถ้าไม่ลงมือจัดการอะไรสักอย่าง
มันก็เป็นพรปากเปล่าที่พูดออกจากปาก คิดออกจากใจแต่ไม่ถูกปั้นด้วยมือเท่านั้นแหละ

ถ้าหายเกลียดตัวเอง เลิกรำคาญชีวิตตัวเอง หยุดไม่พอใจตัวเองได้เมื่อไร
คงพบความสงบได้นะ
ขอให้เป็นอย่างนั้น

สวัสดีวันเกิดสุนันทา
1 พฤศจิกายน 2560

 

เปรอะ

เมื่อวานออกไประบายสี
ญาติ ๆ ชวนกันไปกระทำความเปรอะที่สวนสาธารณะเพื่อให้สมกับที่อากาศดี มีลมโชยแรง ๆ การระบายสีนี่แหละเหมาะสุดแล้ว หลานก็ทำได้ ป้า ๆ ลุง ๆ ยาย ๆ ก็ทำได้ด้วย แถมเป็นกิจกรรมที่ราคาไม่แพงเลย

เป็นเวลาชั่วโมงกว่าเกือบสองชั่วโมงที่ผ่านไปเร็วดี
หลานชายสมาธิค่อนข้างสั้นระบายตุ๊กตุ่นไป 2 ตัว ส่วนบรรดาป้าลุงยายก็ค่อย ๆ ระบายไป คุยกันเรื่องเลือกสี การใช้สี การผสมสี มีลมเย็น ๆ ช่วยสร้างบรรยากาศ

ผลงานปลาดาวของฉันตั้งใจให้สีสันสดใสสมกับที่เป็นหน้าร้อน
เหมือนจะระบายง่ายแต่ก็ไม่ง่าย พยายามเลือกรูปปั้นที่ระบายไม่ยากและซับซ้อนน้อยที่สุดละ เราเป็นคนแบบนี้แหละ นักหลีกเลี่ยงทางยาก แต่ชอบช่วงเวลานั้นนะ จดจ่อกับมันดี เลอะบ้าง เปรอะบ้างเพราะมือไม่นิ่งแถมไม่เคยมีฝีมือในวิชาศิลปทุกแขนง ปลาดาวเลยเป็นผลงานในคลาสศิลเปรอะบำบัดที่เราภูมิใจกับมัน นี่เก็บเอามาตั้งใจจะเอาไว้ทับกระดาษ

ชีวิตมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่านะ
เลอะบ้างก็ได้ สีตุ่นบ้างก็ได้ แต่อย่างน้อยเราก็เลือกและลงมือละเลงกับมือ
จริง ๆ รูปปั้นสีขาว ๆ ตอนยังไม่ลงสีมันก็สวยเลอค่าน่าเก็บอยู่ แต่พอเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหาสีป้าย ๆ ทา ๆ แต้มเติมเข้าไปจนกว่าเราจะพอใจ

นี่ก็ยังอยู่ระหว่างทาง
ผลงานชีวิตเลยยังไม่เสร็จ รู้แค่ว่ามันเลอะเทอะเละเทะมาก
ฉันเลือกใช้สีเอง เลือกวิธีการระบายสีเอง พยายามหาวิธีกลบสีเก่าเอง บางทีชะโงกหน้าไปถามคนเก่ง ๆ บ้าง หลายคนพยายามบอก พยายามสอน แต่สุดท้ายเราลงมือเลือกและทำเอง ถ้าวันจบคลาสชีวิตแล้วมันออกมาไม่สวยสดงดงามก็คงขว้างทิ้งหรือปฏิเสธความเป็นเจ้าของไม่ได้หรอก

ฉันคิดว่าฉันรักตัวเองมากพอดูนะ
แม้จะปล่อยอีเหละเขละขละอยู่ตลอด มันคงเป็นวิธีแสดงความรักในแบบของฉันที่โคตรไม่สดใส สนุกบ้างบางคราว แต่ระยะยาวอาจระทม แต่ทำไงได้ล่ะ เลือกไปแล้ว ไปให้สุดทาง

 

 

 

 

 

 

ชั่วคราว

ไม่รู้ว่าการกลับบ้านของคนอื่นคืออะไร อย่างไร
สำหรับฉัน การเดินทางกลับบ้านเกิดคือการเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวัน ปรับวิถีชีวิตบางอย่างชั่วคราว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องการกินอยู่หลับนอน รายละเอียดเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่สถานการณ์ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกแต่เพราะฉันอยู่กับตัวเองมาตลอด ต่อให้การปรับเล็กเปลี่ยนน้อยมันจึงถือเป็นความเปลี่ยนแปลง

การล้อมวงกินข้าว คุยเฮฮาบ้าบออะไรไปเรื่อยมันทำให้กินข้าวอร่อยดีนะ
แม้บางทีจะต้องกินอะไรที่ปกติอาจจะไม่ค่อยเลือกกิน ไม่มีโอกาสได้กิน หรือกินไม่เป็นเวลาล่ำเวลาก็เถอะ แต่การกลับบ้านมันทำให้ฉัน ‘หยวน ๆ’ กับตัวเองและคนอื่น ๆ พยายามจะไม่เยอะใส่ตัวเองและคนรอบข้าง เป็นการทำตัวให้ปล่อยไหลไปตามที่คนส่วนใหญ่ทำซึ่งมันสนุกดี

นี่คือตัวอย่างที่ฉันชอบ
จริง ๆ มันก็มีทั้งถูกใจและขัดใจตัวเองแหละ
แต่อย่างที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรมากมายเพราะเรื่องเดิม ๆ วิถีชีวิตของตัวเองมันมีเวลาอีกมากมายให้ทำ มีเวลาเหลือเฟือที่จะกิน นอน คุยคนเดียวซึ่งมันเหงา คนเยอะอาจวุ่นวายแต่มันกลับทำให้ใจสงบได้บางคราวอยู่เหมือนกัน

เหลืออีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางกลับไปยังที่ของฉันแล้ว
ใจหายใช่ย่อย แต่บางทีการลาจากความรู้สึกดี ๆ สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นมันประทับใจกว่าการยื้อ, ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

ฤดูกาลพักร้อนกำลังจะสิ้นสุด
ฤดูกาลปกติกำลังจะเริ่มต้นหลังจากที่กดปุ่มหยุดชั่วคราวเอาไว้

เมษายน 2560
นครสวรรค์