ที่ที่อยู่

บ่อยๆ ที่เรามักคิดถึง ‘ที่อยู่’

และอาจจะบ่อยกว่าที่เราสับสนกับการหา ‘ที่ไป’ ให้ตัวเอง

ในโลกนี้คงจะมีสักที่สักทางที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นหลักแหล่ง เป็นที่ฟื้นฟูกายและใจ

แต่ในวันนี้เราไม่มีที่แบบนั้น,

ที่ของหัวใจ

.

.

.

บางทีมันอาจจะเป็นความรู้สึกเดียวกับความโดดเดี่ยว

และเป็นความหมายเดียวกับความเหงาอย่างไม่มีจุดจบ

ทำไมต้องตลก?

วันนี้ไปดูหนังมา

เป็นหนังครอบครัว เป็นหนังตลก เป็นหนังรัก เป็นหนังของวัยกำลังโต

รวมๆ แล้วเป็นหนังไทยดีๆ เรื่องนึงที่น่ารักมาก

ทำให้ยิ้มไป ร้องไห้ไป ขำไป ซึ้งไปได้อย่างครบรส

หนังเน้นเรื่องปมในใจของเด็กชายวัยประถมที่กำลังโตเป็นหนุ่ม เป็นปมที่กลัวพ่อไม่รัก ก็เลยพยายามอย่างหนักที่จะทำให้พ่อรักด้วยการพยายามจะตลกเพราะพ่อเป็นหัวหน้าคณะตลก (จริงๆ เป็นมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ) แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ตลกแม้จะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อและคนรอบข้าง

แต่เมื่อมีคนบอกว่าเค้าเป็นคนตลก

ความมั่นใจในตัวเองและการตอบแทนความรู้สึกนั้นจึงบังเกิดขึ้น

กลายเป็นเรื่องราวซึ้งๆ ซ่าๆ ฮาๆ มันๆ ขันๆ ขมๆ ของหนุ่มน้อยที่อยากเป็นหนุ่มใหญ่ โดยมีคนรอบข้างเป็นผู้ช่วย เป็นตัวประกอบที่เกินหน้าเกินตาในระดับกำลังอิ่มพอดีๆ

หนังมีหลายประโยคที่ทำน้ำตาร่วงด้วยความซาบซึ้ง ประัทับใจจนเก็บมาคิด

หนังมีประเด็นที่น่าสนใจจนอยากจะมาบอกต่อ แต่ประเด็นหลักที่เราชอบ คือ ทำไมต้องตลก?

จริงๆ ชื่อนี้เป็นชื่อหนังสั้น ก่อนจะกลายร่่างมาเป็น “บ้านฉันตลกไว้ก่อนพ่อสอนไว้” อย่างที่เราได้เห็น ได้ยินกัน

เราไม่เคยดูเรื่องสั้นเรื่องนั้น แต่เราอยากจะบอกว่าชื่อนี้มันกินใจความทั้งเรื่องหมดแล้ว


หลายคนมีปัญหากับครอบครัว โดยเฉพาะกับพ่อแม่ด้วยเรื่องที่ว่าจะเรียนอะไร จะทำงานอะไร

หรืออาจจะเถียงกับแฟนเรื่องความชอบ ไม่ชอบ ความใช่ ไม่ใช่

เป็นเรื่องที่ถกเถียงด้วยมุม ด้วยมุมที่แตกต่าง

ทำไมต้องตลก?

เป็นคำถามที่หลายๆ คนควรเก็บไปคิดว่าก็ในเมื่อเราไม่ใช่คนตลก เราไม่เหมาะจะเป็นตลก ทำไมเราจึงต้องเป็นตลก เพราะแค่การที่เราไม่เป็นตลก ไม่ได้หมายความว่าเราจะเลิกเรียน เราจะเกเร เราจะติดยา เราจะไม่รักพ่อแม่ เราจะไม่ ไม่ ไม่

แค่นั้นเอง

ถ้าการที่เราตลกแล้วชีวิตมันเหนื่อย มันเครียด มันกดดัน มันไม่สนุก…มันไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง

มันจะมีประโยชน์อะไรกับการที่เป็นตลกหน้าตายที่ปล่อยมุกทีไรก็ตายสนิททุกที

นอกจากตัวเองจะทุกข์แล้ว คนรอบข้างที่ต้องเจอมุกควายๆ ก็อาจไม่มีความสุขไปด้วย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น

จะไม่อยากเป็นตลกหรือยากเป็นอะไรก็ควรบอกกันให้ชัดเจนอย่าเก็บงำ

เพราะถ้าคนๆ นั้นเค้ารักคุณจริง เค้าก็พร้อมที่จะยอมรับในตัวคุณไม่ว่าคุณจะเป็น หรือไม่เป็นอะไร

.

.

.

แค่นั้นเอง

คำเตือน,คำคุณศัพท์ และคำวิเศษณ์

ช่วงนี้เราไม่อยากอยู่ใกล้ใครและไม่อยากให้ใครอยู่ใกล้เรา

ยกเว้นอยู่คนเดียวที่เราอยากอยู่ใกล้แต่ความรู้สึกเขามันตรงข้าม

.

.

.

โดยปกติแล้ว

นิสัยแท้จริงโดยสันดานของเราก็ไม่ได้ดีเด่

ออกแนวน่าเบื่อและค่อนไปทางลบซะมาก…ช่วงนี้ยิ่งเป็นหนัก

จะเรียกว่าเป็นช่วง The Darkest Dark Side of my Life ก็ได้

ฉะนั้นขอบคุณทุกๆ คนมา ณ ที่นี้ที่คอยเป็นห่วงทั้งโทรมา, ส่งข้อความ หรือจากเฟซบุ๊ค

เรายังไม่อยากรับโทรศัพท์ ไม่อยากถูกถาม ไม่อยากเล่า ไม่อยากแสดงสันดานเลวๆ ไปมากกว่านี้

คำคุณศัพท์และคำวิเศษณ์ด้านลบช่วงนี้ที่อยากเตือนทุกท่านให้ระวังไว้

ปัญญาอ่อน

ขาดสติ

งี่เง่า

เพ้อเจ้อ

จมจ่อม

ขี้ประชด

ไม่รักตัวเอง

จิตใจทราม

อ่อนแอ

ริษยา

ปากร้าย

เอาแต่ใจ

เจ้าคิดเจ้าแค้น

เมามาย

และอีกมากมาย


หมดคำถาม

เราเป็นคนชอบตั้งคำถาม

แล้วก็เจ็บปวดกับคำตอบมาหลายต่อหลายครั้ง

อาจจะด้วยเพราะสงสัย, อาจจะเพราะอยากรู้ หรืออาจจะเพราะชอบคิดเรื่องที่ยังมาไม่ถึง

ไม่ว่าจะถามขึ้นมาด้วยเหตุผลกลใด

คำตอบที่ได้ส่วนใหญ่ไม่ได้ผลดีอะไรกับชีวิต

จากนี้ไปจะเลิกตั้งคำถาม

“ทำไม”‘

“ทำไม?”

“ทำไม?”

นั่นคือ คำถามที่วิ่งวนพล่านไปมาอยู่ในหัวเราเมื่อวานนี้

“จะทำยังไงต่อ?”

“จะทำยังไงต่อ?”

“จะทำยังไงต่อ?”

ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่เราคงใช้สิ้นเปลืองมากในระยะนี้

ถ้าครั้งหนึ่งชีวิตเราเคยได้ผูกพันกับใครบางคน

ก่อนจะก้าวออกไป,

เค้าได้ทิ้งคำตอบเอาไว้

เมื่อได้เจอคำตอบที่ชัดเจน มั่นคงอย่างนั้นแล้ว,

เราก็คงหมดคำถามจริงๆ

เพื่อนคนหนึ่งที่ผ่านประสบการณ์เจ็บปวดยิ่งกว่าเราบอกว่า

“อย่าเพิ่งไปคิดสรุป อย่าเพิ่งไปหาคำตอบ ทำใจให้สบายก่อน”

เราคิดว่ามันน่าจะดีกว่าการหมกมุ่นแล้วถามคำถามข้างต้นซ้ำไปซ้ำมา

ตอนนี้เราไม่รู้ว่าเราต้องจัดการชีวิตต่อไปยังไง และโดยเฉพาะความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่เราต้องเลือก

เราก็ยังไม่ได้คำตอบ…นั่นเพราะเรายังไม่ได้ถามใจตัวเอง

ตอนนี้

คำถามที่เจอมากที่สุดและตอบยากที่สุดก็คือ “เป็นยังไงบ้าง?”

เราเข้าใจความห่วงใยของผู้คนที่รายล้อมแต่เราก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดีเหมือนกัน

เอาเป็นว่า,

ในระหว่างที่ชีวิตยังว่างเปล่าัทั้งคำถามและคำตอบอย่างนี้เราจะพยายามดูแลตัวเองให้ดี

ถ้าวันไหนอยากจะทำร้ายทำลายตัวเองขึ้นมาจะรีบบอกให้ได้รู้กันก็แล้วกันนะ

ผู้ช่วยนักบิน

มีคนบอกว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว”

แต่ชายคนหนึ่งกลับสนุกที่ได้สะสมไมล์การเดินทางในที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ

เขามีเป้าหมายที่อยากไปให้ถึงและทำให้ได้

เขาเฝ้ารอวันนั้น

แต่แล้วในวันที่ยอดการเดินทางของเขาพุ่งไปถึงจุดสูงสุดเขากลับพบว่า ‘ไม่ยินดี’

เพราะความสนุกที่เคยได้เคยมีมันหายไปทันทีที่เขารู้จักกับ ‘การสานสัมพันธ์’

และทันทีที่การสานสัมพันธ์นั้นเริ่มต้น…มันก็จบลงด้วยในตัว

เขากลายเป็นเพียงชายในวงเล็บที่ไร้ตัวตนในโลกความเป็นจริง

แม้จะจบลงอย่างเงียบๆ แต่มันก็เป็นออกเดินทางครั้งใหม่ที่ท้าทายชีิวตเขายิ่งกว่าเดิม

เพราะหัวใจของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

up in the air

หนังเรียบง่ายกินใจของ Jason Reitman ผู้กำกับหนังกระแสดังๆ อย่าง Juno

(อย่าแปลกใจหรือรู้สึกผิดที่อาจจะไม่คุ้นชื่อเขานัก เพราะเรื่องที่แล้วชื่อของคนเขียนบทมาแรงแซงชื่อของผู้กำกับไปมาก)

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องของผู้ชายที่ออกตัวว่าไม่ชอบ และไม่ต้องการสร้างความพันธ์แน่นแฟ้นกับใคร

เขาไม่อยากลงหลักปักฐาน ไม่อยากยึดติด ไม่อยากแบกภาระ

เขาใช้ชีวิตแบบที่มีเครื่องบินเป็นบ้าน และการเดินทางเ็ป็นงานหลัก

เขามีความสุขกับสถานภาพโสด

เขามีความสุขกับการทำอะไรคนเดียวที่คล่องตัว

แต่เขาก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง,

มนุษย์ที่ไม่อาจฉีกกฎการเป็นสัตว์สังคมได้

เพราะในท้ายที่สุดเขาก็ได้เรียนรู้ว่า ‘การโดดเดี่ยว’ และ ‘อยู่ตัวคนเดียว’ ของเขาไม่สนุกอีกต่อไป

ตัวละครตัวหนึ่งในหนังบอกว่า

“Everbody needs co-pilot”


เราสรุปเอาเองว่า

“หากชีวิตคือการเดินทาง

ในช่วงเวลาหนึ่งถ้ามีใครสักคนเดินเคียงข้าง

คอยให้กำลังใจ, คอยก่นด่า, คอยเตือนสติ, คอยชื่นชมเราบ้าง

ต่อให้สูงแค่ไหนก็คงไม่ต้องหนาว ไม่ต้องเหงาอีกต่อไป”

.

.

.

ว่าแต่…ผู้ช่วยนักบินคนนั้นพร้อมจะเดินทางไปกับเราหรือยัง?

สมรสและภาระ

ยังจ้ะ,

อิชั้นยังไม่ได้จะแต่งงานนะจ๊ะท่านๆ

อยู่ ๆ ที่นึกอยากจะเขียนเรื่องไกลตัว (เราคนเดียว) เช่นนี้ก็เพราะว่าตอนที่กลับบ้านนอกได้ไปนอนคุยกับเพื่อนสนิทคนนึงมา แล้วบทสนทนาของเราทั้งคู่ก็วกเข้าเรื่องงานแต่งเพราะพี่ชายเพื่อนเราคนนี้กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา

เพื่อนเล่าให้ฟังว่าแรกๆ พี่ชายและว่าที่พี่สะใภ้ก็ทำเหมือนว่าอยากจะให้พ่อแม่ของเพื่อนเราช่วยเหลือในการจัดงาน เพราะแฟนพี่ชายเพื่อนเี่ราแก่เฒ่ามากแล้วไม่สามารถดูแลจัดการได้

แม่ของเพื่อนเราก็ยินดีเป็นนักหนาเพราะรักลูกชายและแฟนลูกชายมากๆ บอกว่าจะจัดงานที่นครสวรรค์ บ้านเกิดของลูกชาย แล้วก็จะจัดให้ไม่น้อยหน้าใครเลย รวมทั้งจะรับรองพ่อแม่ของว่าที่ลูกสะใภ้เป็นอย่างดี

เรื่องมันก็คงจะเป็นไปด้วยดีถ้าพี่ชายของเพื่อนและแฟนเค้าจะไม่โยเย แล้วก็มีเหมือนจะลืมเลือนเรื่องที่เคยพูดกันไว้

ว่าที่บ่าวสาวอ้างว่าพี่ชายและพี่สาวของฝ่ายหญิงอยากจะจัดงานเองที่กรุงเทพ จะไม่ไปจัดที่นครสวรรค์ (บ้านเกิดของฝ่ายชาย) และที่หาดใหญ่ (บ้านเกิดของฝ่ายหญิง) จะเช่าโรงแรมจัด และคงจะจ้างออกาไนเซอร์อะไรทำนองนั้นด้วย

เพื่อนและครอบครัวก็ถึงบางอ้อว่า

พี่ๆ ของว่าที่เจ้าสาวคงขี้เกียจเดินทาง และพยายามจะเลือกโรงแรมที่ใกล้กับที่พักของตัวเอง และเพราะอยากใ้ห้เพื่อนๆ และเจ้านายของตัวเองเดินทางมาร่วมงานแต่งได้โดยสะดวกโยธิน

ส่วนว่าที่เจ้าบ่าว หรือ พี่ชายเพื่อนเราก็รักแฟนเค้ามาก…ตามใจทุกอย่าง

ตอนนี้เพื่อนเราและพ่อกับแม่เลยกลายเป็นเหมือนไม่ได้มีส่วนร่วมอะไร และคงเป็นแค่ ‘แขก’ ในงานเท่านั้น

ประเด็นที่เราคาใจและอยากแสดงความคิดเห็นในมุมของเรา คือ

  • คนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพมักจัดงานแต่งงานในกรุงเทพเพราะอยากให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนๆ เดินทางไปร่วมงานแต่งได้สะดวกสบาย แต่ลืมนึกไปว่าญาติพี่้น้องและครอบครัวของตัวเองก็ลำบากไม่น้อยที่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพ
  • งานแต่งงานของคนรุ่นใหม่ใช้คนจัดงานหรือออกาไนเซอร์ โดยคนในครอบครัวขาดส่วนร่วมไปทีละน้อยๆ อย่างเช่น ผู้ใหญ่ที่ขึ้นไปอวยพรก็มักเป็นเจ้านายแทนที่จะเป็นญาติผู้ใหญ่
  • ขั้นตอนหรือพิธีการในงานแต่งที่จัดกันในโรงแรมมีรูปแบบที่เป็นทางการ, เป็นแพทเทิร์นที่น่าเบื่อ และเหมือนกันทุกงาน

เราอาจจะเป็นต่างจังหวัดที่ยึดติดไปสักหน่อย แต่เราชอบความเรียบง่ายและเป็นกันเอง เราโตมากับการได้เห็นงานแต่งงานแบบที่คนในครอบครัวช่วยกันคิด ช่วยกันทำ โดยมีคนแถวบ้านมาช่วยทำกับข้าวกับปลา และดูแลเรื่องพิธีการ ใครถนัดอะไรก็เข้ามาช่วยเหลือเรื่องนั้นๆ แม้งานจะขลุกขลัก ไม่สมบูรณ์หมดจดแต่มันก็เป้นงานแต่งที่มีชีวิตชีวาดี