มันอยู่ที่จังหวะ

ราวๆ สักห้าหกปีก่อน
เราทำงานฝ่ายประสานงานให้กับบริษัทออแกไนเซอร์ที่หนึ่ง

จริงๆ โดยธรรมชาติของตัวเราไม่เหมาะักับงานอีเว้นท์ทั้งหลาย
เพราะเราเป็นคนลน แม้ท่าทางจะนิ่งๆ
ที่ำสำคัญคือ เราไม่ค่อยถนัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งไอ้คุณสมบัติข้อนี้เป็นหัวใจสำคัญของงานพวกนี้

มีอยู่งานหนึ่ง,
ด้วยความผิดแผน หรือผิดพลาดอะไรสักอย่างนึกไม่ออกแล้ว
เจ้านายเราที่อยู่ในงานด้วย เดินมาดุเราที่หลังเวลาแบบจริงจัง

เรานิ่ง สะกดน้ำตาไว้และบอกเจ้านายสั้นๆ ว่า “ให้งานจบก่อนนะ แล้วค่อยมาด่า ขอร้อง”
อาจจะเหมือนเราพูดจาไม่ดีกับคนจ่ายเงินเดือน แต่เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ

งานอีเ้ว้นท์เป็นงานที่มันหยุดไม่ได้
เมื่อเริ่มแล้วมันจะดำเนินไปเรื่อยจนกว่าจะหมดกำหนดการณ์
และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็ต้องดำเนินควบคู่กันไปด้วยจนกว่าจะเลิก

เราเป็นมนุษย์ลนลาน
การทำงานประเภทนี้เราต้องการสติและสมาธิสูงมาก
อาจฟังดูเหมือนข้อแก้ตัวที่ไม่อยากถูกด่าต่อหน้าคนเยอะๆ
แต่จริงๆ แล้วเราว่ามัน “ไม่ก่อประโยชน์”
เพราะ ณ ขณะนั้นเราต้องทำงานของเราต่อให้จบโดยไม่ิให้ติดขัดและชะงัก
เรายินดีที่จะถูกด่าและถูกวิจารณ์ ประณาม หรืออะไรก็ตามให้สมกับความผิดพลาด

แต่มันจะดีกว่ามั้ยถ้ามันมาในเวลาที่เหมาะสม

เรื่องเล็กๆ ในชีวิตเราที่เล่าให้ฟัง
เพราะมันเกิดมีเหตุการณ์คล้ายว่าจะไร้สาระทำให้นึกถึง

บ้านเมืองเราน้ำท่วมหนักในหลายๆ พื้นที่มาหลายสัปดาห์แล้ว
หลายหน่วยงาน หลายภาคส่วน ประชาชนหลายๆ คนก็พยายามช่วยกันแก้วิกฤตอยู่
แต่ก็มีบางคนพยายามแย่หยุ พยายามเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกในช่วงเวลาที่เราควรจะสามัคคีกันที่สุดครั้งหนึ่ง

ใช้วิธีง่ายๆ
ด้วยการเปรียบเทียบการทำงานและความทุ่มเทของนายกฯ คนปัจจุบันกับคนที่เพิ่งลงจากตำแหน่งไปเมื่อไม่นาน หลายคนที่เข้ามาอ่านเจอข้อเขียนนี้ของเรา โดยเฉพาะบรรทัดข้างบน อาจจะเริ่มตั้งแง่ว่า “เสื้อแดงล่ะซิแก”

บอกตรงๆ นะ
ไม่ว่าจะนายกฯ คนที่แล้ว หรือคนล่าสุด เราไม่ได้เลือกเลย…สักคน
โดยเฉพาะคนปัจจุบัน ความพอใจ หรือความภูมิใจไม่ได้เกิดในใจเราเลยสักนิด
แต่ในเมื่อ “เสียงส่วนใหญ่” เลือกมาแล้ว เราจะทำอะไรได้ นอกจากให้โอกาสได้พิสูจน์ความสามารถ และ “ความจริงใจ” ที่ประชาชนหลายคน และตัวเราคลางแคลงตั้งแต่เริ่ม

เรื่องเล็กๆ
ที่มีคนไม่หวังดี และไม่สร้างสรรค์นำมาเปรียบเทียบในตอนนี้
ไม่ต่างอะไรกับที่เจ้านายเราทำในวันนั้น

คนพวกนี้ไม่ต่างจากโจรที่เข้าไปงัดแงะขโมยของบ้านที่ถูกน้ำท่วม
ไม่ต่างอะไรกับพ่อค้าแม่ค้าหน้าเลือดใจโหดที่เลือกจะขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่มีที่มาที่ไป
เพราะการกระทำมันได้ซ้ำเติมสถานการณ์มากกว่าจะช่วยเยียวยาให้มันบรรเทา หรือทำให้ดีขึ้น

ของแบบนี้,
มันอยู่ที่จังหวะ
การเล่นงาน หรือโจมตีใครสักคนมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง

สำหรับเรื่องนี้,
เราว่ารอให้น้ำลดเพื่อเห็นตอได้ชัด…มันก็ยังไม่สายนะ