บาดแผลของบ้าน

“เหนื่อยมั้ยแม่?”

ลูกชายพูดกับแม่ในวันหนึ่ง

มันเป็นประโยคที่ขมวดรวมความรู้สึกของคนพูด ของคนถูกถาม คนที่เกี่ยวข้อง และรวมถึงผู้ดูอย่างเรา ที่เข้าไปนั่งดูหนังเรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ มาเมื่อคืนนี้

คนอื่นอาจจดจำประโยคอื่นได้มากกว่า

แต่เราฝังใจและนิ่งอึ้งกับคำถามนี้

เพราะเราใช้มันบ่อยเพื่อถามแม่เราเมื่อหลายปีติดต่อกันมา และบางครั้งเราก็ได้แต่ซ่อนคำถามนั้นเอาไว้ในใจอย่างกล้ำกลืนเพราะรู้สึกว่าการถาม หรือพูดออกไปดูจะเป็นการตอกย้ำความเหนื่อยล้า และตรากตรำของคนถูกถามและคนถามอย่างเรามากเกินไป,

ชีวิตจริงมันโหดร้ายแบบนี้เสมอ

ในหนังจบลงด้วยความเข้าใจ เพราะเป็นการแก้ปัญหาด้วยความรักเป็นพื้นฐาน

บ้านทุกบ้านก็ย่อมมีบาดแผลและร่องรอยเจ็บช้ำ

แต่บ้านใครจะฟื้นตัวได้เร็วกว่ากัน

ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าที่บ้านนั้นจะหลงเหลือความรักให้กันอีกหรือไม่?

หรือบางทีความรักอย่างเดียวอาจช่วยอะไรไม่ได้เลย

ยามเมื่อลมพัด…หอม

     อดีตและภาพทรงจำอันงดงามมักลับมาพร้อมสายลมปลายปี

     แต่มันก็ไม่ได้กลับมาแต่ภาพถ่าย และ เหลือไว้เพียงความทรงจำเท่านั้น

     มันพัดพาคนตัวเป็นๆ ที่เราได้เคยโยงใยชีวิตเอาไว้กับพวกเขาเหล่านั้นมา

     ระยะนี้เราจึงมีโอกาสได้พบปะกับ ‘คนเก่าๆ’ อยู่ตลอด

     จะว่ามีโอกาสก็ไม่ถูกซะทีเดียว

     เพราะเราเลือกที่จะเอาตัวเข้าไปผสมโอกาสด้วย

     …

     บางที, มันไม่ได้อยู่ที่ว่าเราประทับใจเพราะไปไหน หรือ ทำอะไร

     แต่มันอยู่ที่ว่าเราได้แบ่งปันเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงของเราไปกับใครมากกว่า

     และเมื่อมีโอกาสได้ร่วมกันใช้อีกครั้ง

     เพียงแค่การกินข้าว ดูหนัง (รัก)

     เท่านี้ก็ทำให้โมงยามนั้น หอมขึ้นใจไปอีกนาน

     …

     ขอบคุณทุกๆ คนที่เคยผูกพันธ์และยังแน่นแฟ้นกันอยู่

เสียดาย

     ปีที่แล้วช่วงประมาณนี้ เราจะชอบชะโงกหน้าจากหน้าต่างที่ทำงานออกไปมองสนามฟุตบอลที่ มศว. เพราะต้นไม้ต่างๆ ที่มีดอก เช่น เหลืองอินเดีย หรือ ตาเบบูญ่า จะพร้อมใจกันบาน หรือไม่ก็กลีบบอบบางจะพากันร่วงโรย เกลื่อนทางเดิน

     ตั้งใจไว้ว่าอยากจะออกไปถ่ายรูป และบางวันที่อากาศดีมากๆ เราจะเดินจากป้ายรถเมล์ทะลุมาตึกแกรมมี่แทนการนั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง และเมื่อวันอังคารเราก็มีโอกาสได้ทำอย่างนั้น แต่…

     เราเพิ่งสังเกตว่าสนามบอลที่เคยมีหญ้าเขียวสดๆ ให้เห็น โดนล้อมรั้วไว้แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทำให้ตอนที่เดินรู้สึกร้อนแดดมากๆ เล่นเอาเซ็งจิตไปหน่อย แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายประกาศเล็กๆ ที่บอกทำนองว่า ให้ระมัดระวังเพราะจะมีการเคลื่อนย้ายต้นไม้รอบๆ สนามไปไว้ที่… (เราจำไม่ได้ แต่มันคือวิทยาเขตของ มศว.) เราตกใจอย่างจังเลยทีนี้ แบบว่าร้อง “เฮ้ย!” ออกมา

     จะไม่มีต้นไม้รอบสนามบอล ไม่ซิ จะไม่มีสนามฟุตบอลแล้วต่างหาก จริงๆ เราเองก็ไม่ค่อยได้ใช้บริการด้วยซ้ำแต่รู้สึกเหมือนโดนพรากจากคนรู้จัก ที่แม้นานๆ จะคุยกันทีแต่ก็ผูกพันธ์กันพอสมควร เราเคยไปถ่ายงานที่นั่น, เคยลงไปวิ่งตอนเย็น, เคยไปนั่งเล่น เคยแม้กระทั่ง ชะโงกหน้าไปมองเวลาเบื่อๆ หรือ เหนื่อยๆ

     วันนี้มองลงไปอีกที ก็เห็นว่ามีการปรับพื้นที่ตรงนั้น เดาเอาเองว่าอาจจะสร้างตึกเรียน มีน้องที่ออฟฟิศแซวเล่นๆ ว่าอาจจะทำสนามบอลในร่ม

     แอบคิดเอาเองแบบมองโลกในแง่ดีแต่อาจไม่ค่อยจริงว่า ทาง มศว. อาจจะกำลังพลิกโฉมสนามฟุตบอลใหม่ให้ไฉไลกว่าเก่า เช่น ไปซื้อหญ้าไฮโซที่ทั้งเขียว ทั้งนุ่มมากๆ มาจากอเมริกา หรือสร้างเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่มีอุปกรณ์ต่างๆ ให้คนมาใช้ประโยชน์

     คิดไปคิดมาก็ได้แต่เสียดาย

     พื้นที่ตรงนี้มันต้องกลายเป็นอาคารเรียนสักหลัง หรือหอประชุมเล็กๆ หรืออาจเป็นพิพิธภัณฑ์ หรือหอศิลป์ที่ไว้จัดแสดงงานของนักศึกษา

     การศึกษามันสำคัญถึงเพียงนี้ ถ้าไม่มีอาคารเรียนน้องๆ นักศึกษาจะไปนั่งเรียนกันที่ไหน ใช่มั้ย?

     แต่ถ้าในมหา’ลัยไม่มีสนามหญ้า ก็ยังมีสนามกีฬาในร่ม

     …

     มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้นละมั้ง

     เพียงแต่เราเสียดายจากใจจริงก็เท่านั้นแหล่ะ

อย่าปล่อยให้ความทุกข์ลอยนวล

     เวลา 09.30 น. บนรถปอ. สาย 60

     หญิงสาวหยิบนวนิยายขนาดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านต่อ หลังจากที่เธออ่านไปได้ราว 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วต่อมาอีก 10 นาทีเธอก็ปิดหนังสือเล่มนั้น และเก็บมันเข้ากระเป๋าดังเดิม

     เธอมองเหม่อออกไปข้างนอกกระจกฝ้ามัว ในใจพลางครุ่นคิดถึงถ้อยคำที่ตัวละครชาย-หญิงคู่หนึ่งสื่อสารกัน แม้มันจะไม่ใช่คำพูดที่ทำให้ยิ้มกว้าง หรือ ทำให้โลกทั้งใบสดใสขึ้นทันตา แต่อย่างน้อยมันเป็นอีกครั้งที่ทำให้เธอฉุกคิดถึงการดำรงคงอยู่ และการดำเนินไปของชีวิตอึมครึมของเธอ

     อาจกล่าวไม่ได้ว่าเธอเป็นคนที่ทุกข์ที่สุดท่ามกลางประชากรหลายร้อยล้านคน แต่เธอก็ไม่มีวันเป็นคนที่สุขที่สุดเช่นเดียวกัน แต่ปริมาตร หรือ ปริมาณความทุกข์ ความสุข มันวัดกันจากอะไรล่ะ?

     สุขของบางคนก็แค่มีข้าวกินไปวันๆ

     สุขของบางคนอาจคือการเพิ่มยอดเงินในบัญชีวันละ 1 แสนบาท

     ทุกข์ของบางคนเกิดขึ้นเพราะสอบไม่ได้ A

     ทุกข์ของบางคนมาจากการพลัดพรากจากคนที่รัก

     …

     หญิงสาวหลับตาลงก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้า แล้วพลางบอกตัวเอง

         “มีคนที่ตายไปเพราะเกิดเรื่องร้ายแรง และยังมีคนที่ยังมีชีวิตอยู่เหมือนคุณแม่ของคุณ มีทั้งครอบครัวที่สามารถยืนหยัดขึ้นมาใหม่ และครอบครัวที่พังพินาศ ครอบครัวมีหลายแบบ งานที่ผมทำอยู่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้มากมาย แต่ผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ามีชีวิตอยู่ก็ยังได้เรียนรู้และได้ทำงานดีๆ ถึงจะเป็นเด็กที่เจอเรื่องร้ายแรงมาขนาดไหนและสิ่งนั้นไม่อาจหลุดออกไปจากตัว ราวกับเป็นรอยเปื้อนตลอดชีวิต แต่ถ้าชั่วขณะหนึ่งได้ลืมไปบ้าง อย่างเช่น เวลากินอาหารอร่อยแล้วได้รู้สึกว่าอร่อย หรือเวลาอากาศดีๆ ก็จะรู้สึกสบายใจไปเอง การที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างน้อยก็จะเจอเรื่องต่างๆ อย่างนี้ ได้มีความรัก และได้มาภูเขานาริตะกลางดึกกับแฟน เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ ถึงแม้มันอาจไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ก็ตาม

     หญิงสาวไม่อยากให้เรื่องราวในหนังสือจบไปกับการปิดหนังสือ แต่อยากให้คนรอบข้างได้ซึบซับและมีกำลังเล็กๆ ในอยู่กับชีวิตที่บางครั้งอาจกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ หรือน่าเศร้า…แต่อย่าลืมนะว่าอย่างน้อยเราก็มีโอกาสได้หายใจอยู่บนโลกได้นานขนาดนี้ ถ้าจะอยู่ต่อไปอีกสักหน่อยก็คงไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วหล่ะ สู้กันต่อไป

……………………………………………………………………………………………………

     ‘หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข’ เขียนโดย บานานา โยชิโมโต

     อ่านเพิ่มเติมได้ที่บล็อกเพื่อนบ้าน

วิงๆ

เกิดอาการวิงๆ

คิดอะไรไม่ค่อยออก

เมื่อคืนดื่มเยอะ และนอนน้อย

ปวดหัวเป็นระยะๆ

มึนหัวเป็นพักๆ

จะเขียนเรื่องอะไรให้อ่านจำไม่ได้แล้ว

งั้นก็มามึนๆ ด้วยกันนะๆ 

Funny Games…กิจกรรมที่ขำไม่ออก

     เพิ่งได้ Funny Games ของพี่ Michael Haneke มีหลายๆ คนแนะนำว่าเป็นหนังของฮาเนเก้ที่ห้ามพลาด ต้องดูๆ แล้วเราก็ไม่ได้ดูเสียที แต่จริงๆ แล้วก็มีหนังในเครือของผู้กำกับคนนี้ที่ควรจะเก็บให้หมด แต่ขอพักๆ ไว้ก่อน เพราะตอนนี้โดนอี Funny Games ตบประสาทและทำลายจิตใจซะจนไม่พร้อมจะรับหนังเรื่องอื่นๆ ของพี่แกอีก

     ก่อนหน้านี้เราก็เคยอึ้งในโรงมาแล้วกับหนังเรื่อง Hidden (cache’) ที่ว่าด้วยประเด็นผิวสีและเชื้อชาติ แม้เรื่องจะดำเนินไปแบบนิ่งเนิบ แต่รู้สึกเหมือนโดนคุกคามอยู่ตลอดเวลา เหมือนเราโดนตาผู้กำกับก่อการร้ายๆ ใส่เราจนหนังจบแล้วความรู้สึกนั้นก็ยังค้างคาใจไปอีกนาน

     Funny Games เปิดเรื่องด้วยครอบครัวแสนสุขที่กำลังเดินทางไปพักผ่อน แต่หลังจากนั้นไม่เกิน 5 นาที ความรู้สึกประหลาดๆ ก็เริ่มเข้ามาก่อกวนจิตใจเรา ในที่สุดมันก็มา…มนุษย์ผู้ชายหน้าตาดี ท่าทางสุภาพ แต่โคตรกวนตีน 2 คน ก็โผล่เข้ามาในชีวิตของ 3 พ่อ-แม่-ลูกบ้านนี้ มันมานิ่งๆ แต่ระดับการสร้างความจี๊ด ความปรี๊ดในสมองนี่ระดับพระเจ้าเลย

     ไอ้โรคจิต 2 คนเริ่มกระทำการ ‘เกมมันๆ’ ตั้งแต่เบาะๆ ด้วยการเดินมาขอยืมไข่ไปทำอาหาร ไปจนถึงการลำลายชีวิตแบบง่ายดาย ซึ่งแต่ละคำพูด แต่ละการกระทำ แต่ละครั้งที่มันแสยะยิ้ม แต่ละครั้งที่มันหัวเราะ ได้ซึมเข้าสู่รากเส้นขนจนเรารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย แล้วก็ใจเต้นแรงตลอดทั้งเรื่องจนอยากจะ pause แล้วหายใจแบบคล่องๆ สักทีสองที เราคิดเลยว่าใครที่มีปัญหาเรื่องหัวใจนี่ดูหนังเรื่องนี้อาจช็อคตายคาหนัง…นี่ไม่ได้ขำนะ เตือนเอาไว้ก่อนเลย

     ตอนจบของหนังทำเราเจ็บหัวใจและเกิดการตั้งคำถามต่อการกระทำของ 2 มนุษย์เลือดเย็น และลามเลียไปถึงสาเหตุที่ทำให้ไอ้หน้าเป็น 2 คนนี้คิดและทำต่อเพื่อนมนุษย์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต่อชีวิตบริสุทธิ์ที่ไม่มีทางสู้…แต่ก็นะ เมื่อหวนคิดถึงคำพูดของมันทั้ง 2 คนในตอนต้นที่บอกว่า “ถ้ายอมให้ไข่เราดีๆ ก็ไม่มีอะไรแล้ว ทั้งหมดต้องโทษตัวพวกคุณเอง…”

     ถ้าจะให้พูดสั้นๆ ถึงหนังเรื่องนี้ ก็ต้องขอบอกว่า เป็นหนังที่ทำร้ายจิตใจคนดูอย่างไม่ปราณี เขย่าจิตใจอย่างรุนแรงทุกฉาก ไม่ควรกระพริบตา และตั้งสติให้ดีก่อนดูทุกครั้ง 

ปีกนางฟ้ากับเวลาที่ต้องรอ…

     จบหนังสือไปอีกหนึ่งเล่ม เป็นงานเขียนของ บานานา โยชิโมโต ชื่อเรื่องว่า ‘ปีกนางฟ้า’ ซึ่งเราได้มาเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนพร้อมๆ กับหนังสืออื่นๆ อีก 4 เล่ม และหลังจากที่ทยอยอ่านหนังสือที่ซื้อมาครั้งนั้นจบไป 2 เล่ม ก็ถึงเวลาของ ‘ปีกนางฟ้า’ เสียที

     ทุกครั้งที่เห็นชื่อนักเขียนคนนี้ เราก็จะหยิบจากชั้นวางไปจ่ายเงินที่เค้าท์เตอร์โดยไม่ต้องพลิกปกหลัง หรือเปิดอ่านก่อน และก็เป็นแบบนี้กับนักเขียนคนอื่นๆ ที่เราชื่นชอบด้วยเช่นกัน ความรู้สึกคล้ายกับเวลาที่ไปเจอหนังของผู้กำกับคนโปรด ไม่ว่าคนจะวิจารณ์ออกมาในแง่ไหน บวก หรือ ลบ ชอบ หรือ เกลียด มันไม่ค่อยมีผลกับ ‘ความอยาก’ ของเราแต่อย่างใด เผลอๆ คำวิจารณ์เหล่านั้นกลับเป็นตัวเร่งให้เรายิ่งอยากที่จะเสพมันให้เร็วยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

     angel.jpg

     กลับเข้าเรื่อง ‘ปีกนางฟ้า’ กันต่อ

     ความรู้สึกและอารมณ์ร่วมของเราที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ คล้ายกับตอนที่อ่าน ‘คิทเช่น’ แต่อาจจะน้อยกว่าตรงที่ความสด และความประทับใจของครั้งแรกที่เราให้ ‘คิทเช่น’ ไปหมดใจ

     โยชิโมโต จะเน้นการเข้าลึกถึงสภาพจิตใจของคน โดยเฉพาะคนที่มีปมหลัง มีความเศร้าฝังลึก หรือมีบาดแผลในหัวใจ แล้วก็ตีแผ่ไอ้ความรู้สึกเจ็บร้าวพวกนั้นออกมาเป็นคำพูดอย่างที่เราไม่มีวันทำได้ แม้บางขณะเราอยู่ในสภาพเดียวกับตัวละคร แต่เราไม่อาจพูด ไม่อาจบอกเล่า ไม่อาจสื่อสารความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้ เลยบอกใครต่อใครออกไปว่า “เศร้านะ” หรือ “เจ็บจัง” ทั้งที่จริงๆ แล้วระดับของความเศร้ามันมีแยกย่อยออกไปอีกตั้งมากมาย

     ‘โฮตารุ’ ตัวละครที่หอบเอาความเจ็บปวด ความผิดหวังอย่างสุดแสนจากโตเกียว เมืองที่ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว และแปลกแยก กลับไปยังบ้านเกิดที่ทุกชีวิตดำเนินไปพร้อมๆ กับการไหลรินของกระแสธาร

     เธอแบกความช้ำชอกแล้วจมอยู่กับมันทั้งๆ ที่เปลี่ยนสถานที่ แต่ความทรงจำตลอด 8 ปียังตามหลอกหลอน ในเวลานั้นเธอไม่รู้ว่าทำไมจึงสลัดความเศร้าไม่หลุด แต่เมื่อเวลาผันผ่าน เธอได้ออกไปข้างนอก ปล่อยให้ใจรับรู้เรื่องของคนอื่นทำให้เธอได้เห็นว่า แท้จริงแล้วความเจ็บปวดที่เธอได้รับ อาจน้อยกว่า หรือบางเบาเอามากๆ เมื่อเทียบคนรอบๆ ตัว ซึ่งบางคนอาจไม่แสดงออก ไม่เคยกู่ร้องบอกใคร และยิ่งเธอได้เห็นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ว่า ทุกคนต่างก็มีความทุกข์ มีเรื่องที่ลืมไม่ได้ทั้งนั้น แต่เวลาจะช่วยเยียวยาได้…

     เหมือนที่ตอนหลังเธอพบว่าใจไม่ได้นึกถึงเรื่องของใครบางคนอีกต่อไป โดยที่เธอเองก็ไม่ทันรู้ตัวเหมือนกัน

     อ่านจบแล้วรู้สึกเหมือนว่าคนเขียนเขียนให้เราโดยเฉพาะ แต่ตอนจบในหนังสือซึ่งโรแมนติคแบบเงียบๆ อาจไม่เกิดกับชีวิตของเรา ซึ่งแค่นี้เราก็ดีใจนักหนาแล้ว เราจะรอวันที่ปีกที่หักแหว่งจะกลับมาสมบูรณ์และพาเราบินไปไหนต่อไหนได้เหมือนเดิม

     ลองอ่านกันดูนะ…

น่ารัก…

yu-aoi.jpg

ชอบมาตั้งแต่ All About Lily Chou-Chou

แล้วน้องก็พัฒนาการความน่ารักและความสามารถมาเรื่อย

รักเข้าเต็มเปาจาก Hana&Alice

มาเจอเต้นส่ายสะโพกอวดผิวขาวๆ ใน Hula Girl

จากนั้นก็ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว

.

.

.

เร็วๆ นี้เดี๋ยวเจอกันใน Rainbow Song นะจ๊ะ