ที่ห้องเรามีนาฬิกาติดผนังที่นอนนิ่งๆ พิงฝาห้องอยู่ 1 อัน มันมีรูปร่างกลมเกลี้ยง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ฟุต มันไม่ใช่ของเรา…มันเป็นมรดกจากญาติผู้น้องของเราที่ทิ้งเอาไว้ให้เราตอนที่ย้ายออกไป ซึ่งเราก็ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์จากมันสักเท่าไหร่เพราะเราดูเวลาเอาจากมือถือเป็นหลัก

     เมื่อละเลยไม่เคยเหลือบมอง กว่าจะรู้ตัวอีกทีมันก็หยุดเดินซะเฉยๆ

     ทีแรกก็คิดฟื้นชีพมันด้วยการไปเคาะโป๊กๆ 3-4 ที เสียงจังหวะการเดินของมันก็กลับมา แต่ห่างไปแค่ไม่กี่วันมันก็สิ้นอายุไข นอนสงบนิ่งให้ใครสักคนมาปลุกมันราวกับเจ้าหญิงนิทรารอคอยจุมพิตมหัศจรรย์จากเจ้าชายแปลกหน้า…แต่เราไม่ใช่เจ้าชายใจดี และยังไม่คิดที่จะใช้ประโยชน์จากมันก็เลยไม่ยอมซื้อถ่านมาเปลี่ยนให้ แล้วก็ตั้งไว้เฉยๆ แถมไม่ยอมยกให้คนอื่นด้วย

     “มันคงเหนื่อย, ให้มันพักก่อน” เราคิดแบบนั้นนะ

     …

     ตอนนี้ใจเราก็เป็นเหมือนนาฬิกาเรือนนั้น

     อย่าเรียกว่าตายเลย ก็แค่หยุดเดินไปสักระยะ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า ‘พร้อม’ จะเดินต่ออีกทีเมื่อไหร่

     ทุกค่ำคืน, เรายังนอนลืมตาอยู่ในความมืด หมกมุ่นครุ่นคิดและยึดติดกับเรื่องเดิมๆ ไม่ยอมที่จะสลัดมันออกไป บางทีอาจเป็นเพราะเราไม่เคยพยายามและตั้งใจจะทำอย่างที่เคยบอกใครต่อใครมากกว่า ถึงตอนนี้เราเลยอยากขอบคุณทุกๆ คนที่รับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด แถมยังให้กำลังใจ ก่นด่า เตือนสติ คอยเป็นห่วงเป็นใย

     และขอโทษสำหรับความล้มเหลวและใจที่ยังผูกพัน,

     เราจะไม่เล่า ไม่บ่น ไม่ร้องไห้กับใครอีก ในเมื่อเราเลือกที่จะจมอยู่กับมัน เพราะเรารู้สึกเหมือนทรยศความหวังดี ความปราถนาดีที่หลายๆ คนหมั่นส่งมาให้ แต่เราก็ยังไม่สำนึก…

     ต่อไปนี้, บล็อกของเราจะไม่มี ‘เรื่องนั้น’ อีก

     …

     วันหนึ่งข้างหน้านาฬิกาอาจเริ่มต้นเดินอย่างเงียบๆ อีกครั้ง

5 thoughts on “when the clock stop ticking

  1. ได้แต่หวังว่าแกจะกลับมาใช้ชีวิตให้มีความสุขตามปกติ

    และสุขตามอัตภาพได้ดังเดิม …

  2. ขอแนะนำหนังสือสักเล่ม …

    “เมตตาภาวนา : คำสอนว่าด้วยรัก”

    โดย ติช นัท ฮันห์

    .
    .

    ไม่แน่ใจว่าแกเคยอ่านหรือยัง ?

Leave a reply to redbaron Cancel reply